แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
กรณีที่มีการฝ่าฝืนมาตรา 121 มาตรา 122 หรือมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 เมื่อผู้เสียหายได้ยื่นคำร้องกล่าวหาผู้ฝ่าฝืนต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ตามมาตรา124 แล้ว การที่จะวินิจฉัยชี้ขาดและออกคำสั่งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 41(4) และมาตรา 125 คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแรงงานสัมพันธ์เพื่อหาข้อเท็จจริงและเสนอความเห็นในเรื่องที่ได้รับมอบหมายตามมาตรา 42 รวมทั้งมีอำนาจดำเนินการในการสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามที่ระบุไว้ในมาตรา 43และมาตรา 44 แต่บทบัญญัติดังกล่าวไม่ได้บัญญัติว่าต้องส่งสำเนาคำร้องกล่าวหาให้แก่ผู้ฝ่าฝืน และต้องให้สิทธิแก่นายจ้างหรือลูกจ้างที่จะเข้าฟังและซักถามพยานของอีกฝ่ายหนึ่งดังเช่นการพิจารณาคดีของศาล ดังนั้นการสอบสวนหาข้อเท็จจริงก่อนวินิจฉัยชี้ขาดจึงเป็นอำนาจของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์หรือคณะอนุกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่จะใช้ดุลพินิจดำเนินการไปตามที่เห็นสมควรโดยคำนึงถึงความเหมาะสมและความเป็นธรรมแก่คู่กรณี การที่จำเลยที่ 14 ขอเพิ่มเติมข้อกล่าวหาว่า โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 14 ในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับ โดยจำเลยที่ 14 เป็นกรรมการสหภาพแรงงานสหโมเสคสระบุรี ซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง แล้วคณะอนุกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมให้โจทก์ทราบโดยไม่ส่งสำเนาให้นั้น เป็นการเหมาะสมแก่พฤติการณ์แล้ว.ส่วนกรณีที่คณะอนุกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไม่อนุญาตให้โจทก์เข้าฟังการสอบสวนพยานของจำเลยที่ 14 ก็เป็นการใช้อำนาจโดยชอบของคณะอนุกรรมการแรงงานสัมพันธ์ จะถือว่าคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์หรือคณะอนุกรรมการแรงงานสัมพันธ์ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหาได้ไม่
กรณีที่โจทก์ได้ลงโทษภาคทัณฑ์จำเลยที่ 14 มาก่อนแล้ว โจทก์จะนำความผิดที่เคยลงโทษแล้วนั้นมาเป็นเหตุเลิกจ้างจำเลยที่ 14 โดยไม่ได้กระทำความผิดขึ้นใหม่อีกหาได้ไม่ และแม้โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 14 โดยไม่ได้มีการกลั่นแกล้ง ก็ไม่ใช่เหตุที่จะทำให้เป็นการเลิกจ้างที่ชอบด้วยพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 123.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 เป็นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ จำเลยที่ 14 เป็นลูกจ้างของโจทก์เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน2530 โจทก์ภาคทัณฑ์จำเลยที่ 14 ไว้ ภายหลังจำเลยที่ 14 ยังไม่ประพฤติตัวให้ดีขึ้น ต่อมาวันที่ 16 มกราคม 2531 โจทก์ได้เลิกจ้างจำเลยที่ 14 โดยจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2531 จำเลยที่ 14 ได้ยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ 1ถึง 13 ซึ่งเป็นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์กล่าวหาโจทก์เกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมอ้างว่าเลิกจ้างเพราะเหตุที่เป็นกรรมการสหภาพแรงงานตำแหน่งเลขานุการ ให้โจทก์จ่ายค่าเสียหาย 577,440 บาทโจทก์ได้ยื่นคำคัดค้านชี้แจงต่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 ปฏิเสธข้อกล่าวหาของจำเลยที่ 14 ในวันสอบสวนพยานโจทก์วันแรก จำเลยที่ 14เพิ่มเติมข้อกล่าวหาอีก 1 ข้อ ในประเด็นที่ 2 ว่า การที่โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 14 ในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมจำเลยที่ 1 ถึง 13ได้มีคำชี้ขาดในประเด็นที่ 1 ว่าโจทก์ไม่ได้เลิกจ้างจำเลยที่ 14เพราะเหตุเป็นกรรมการสหภาพแรงงาน ประเด็นที่ 2 โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 14 โดยฝ่าฝืนมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 โจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยเพราะไม่มีสำเนาคำร้องเพิ่มเติมข้อกล่าวหาให้โจทก์ลงชื่อรับทราบ และคณะอนุกรรมการไม่อนุญาตให้โจทก์เข้าฟังหรือซักค้านพยานของจำเลยที่ 14 โจทก์มิได้กลั่นแกล้งจำเลยที่ 14 จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้ฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 123 ขอให้ศาลพิพากษาว่า การที่โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 14 เป็นการชอบด้วยกฎหมาย ให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 ที่ 14/2531 ลงวันที่ 25มีนาคม 2531 เฉพาะที่เกี่ยวกับข้อกล่าวหาเพิ่มเติม
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 ให้การว่า การที่โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่14 เป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา123 เพราะจำเลยที่ 14 เป็นสมาชิกและกรรมการของสหภาพแรงงาน และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 14 กระทำผิดตามมาตรา 123 (1)ถึง(5) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คำสั่งของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 จึงชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 14 ให้การว่า การส่งสำเนาคำร้องขอเพิ่มเติมข้อกล่าวหา หรือสมควรอนุญาตให้โจทก์เข้าฟังการสอบสวนพยานของจำเลยที่ 14หรือไม่นั้น เป็นอำนาจของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่จะพิจารณาสั่งตามที่เห็นสมควร โจทก์ได้ลงโทษ จำเลยที่ 14 โดยการภาคทัณฑ์แล้วโจทก์จะนำความผิดนั้นมาเป็นเหตุเลิกจ้างจำเลยที่ 14 อีกหาได้ไม่คำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “โจทก์อุทธรณ์ว่า การสอบสวนของคณะอนุกรรมการแรงงานสัมพันธ์ต้องปฏิบัติเช่นเดียวกันกับการพิจารณาของศาลคือ ต้องพิจารณาโดยเปิดเผยและให้โอกาสฝ่ายหนึ่งซักถามพยานของอีกฝ่ายหนึ่งได้ กรณีที่มีการร้องขอเพิ่มเติมข้อกล่าวหาก็ต้องส่งสำเนาให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งล่วงหน้าเป็นระยะเวลาพอสมควรการที่คณะอนุกรรมการแรงงานสัมพันธ์มิได้ส่งสำเนาคำร้องขอเพิ่มเติมข้อกล่าวหาของจำเลยที่ 14 ให้แก่โจทก์ โดยเพียงแต่แจ้งข้อกล่าวหาให้โจทก์ทราบ และไม่อนุญาตให้โจทก์เข้าฟังการสอบสวนพยานของจำเลยที่ 14 นั้น จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิเคราะห์แล้วเห็นว่ากรณีที่มีการฝ่าฝืนมาตรา 121 มาตรา 122 หรือมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 เมื่อผู้เสียหายได้ยื่นคำร้องกล่าวหาผู้ฝ่าฝืนต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ตามมาตรา 124แล้ว การที่จะวินิจฉัยชี้ขาดและออกคำสั่งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา41(4) และมาตรา 125 คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแรงงานสัมพันธ์เพื่อหาข้อเท็จจริงและเสนอความเห็นในเรื่องที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มอบหมายได้ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 42 สำหรับการสอบสวนหาข้อเท็จจริงนั้น กรรมการแรงงานสัมพันธ์หรืออนุกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจดังที่ระบุไว้ในมาตรา 43 และมาตรา 44 กล่าวคือ เข้าไปในสถานที่ทำงานของนายจ้าง สถานที่ที่ลูกจ้างทำงานอยู่หรือสำนักงานของสมาคมนายจ้าง สหภาพแรงงานสหพันธ์นายจ้าง หรือสหพันธ์แรงงาน ในระหว่างเวลาทำการ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงหรือตรวจสอบเอกสาร มีหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำ หรือให้ส่งสิ่งของหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องมาเพื่อประกอบการพิจารณา มีหนังสือเชิญผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่เกี่ยวข้อง จะเห็นได้ว่าพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 หาได้บัญญัติว่าต้องส่งสำเนาคำร้องกล่าวหาให้แก่ผู้ฝ่าฝืน และต้องให้สิทธิแก่นายจ้างหรือลูกจ้างที่จะเข้าฟังและซักถามพยานของอีกฝ่ายหนึ่ง ดังเช่นการพิจารณาคดีของศาลตามที่โจทก์อุทธรณ์ไม่ ฉะนั้น การสอบสวนหาข้อเท็จจริงก่อนวินิจฉัยชี้ขาด จึงเป็นอำนาจของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์หรือคณะอนุกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่จะใช้ดุลพินิจดำเนินการไปตามที่เห็นสมควร โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและความเป็นธรรมแก่คู่กรณีการที่จำเลยที่ 14 ขอเพิ่มเติมข้อกล่าวหาว่า โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่14 ในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับ โดยจำเลยที่ 14 เป็นกรรมการสหภาพแรงงานสหโมเสคสระบุรี ซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องด้วย แล้วคณะอนุกรรมการแรงงานสัมพันธ์ซึ่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์แต่งตั้งขึ้นสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามคำร้องได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมให้โจทก์ทราบ โดยไม่ส่งสำเนาให้นั้น เห็นว่าเป็นการเหมาะสมแก่พฤติการณ์แล้ว ส่วนกรณีที่คณะอนุกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไม่อนุญาตให้โจทก์เข้าฟังการสอบสวนพยานของจำเลยที่ 14 นั้น เป็นการใช้อำนาจโดยชอบของคณะอนุกรรมการแรงงานสัมพันธ์จะถือว่าคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์หรือคณะอนุกรรมการแรงงานสัมพันธ์ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหาได้ไม่อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ส่วนข้อที่โจทก์อุทธรณ์ต่อไปว่า โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 14เพราะเหตุที่จำเลยที่ 14 ได้กระทำผิดต่อข้อบังคับของโจทก์ตามที่ศาลแรงงานกลางฟังมา โจทก์ย่อมมีสิทธิเลิกจ้างจำเลยที่ 14 ได้ทั้งการที่โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 14 นั้น มิใช่เป็นกรณีที่โจทก์กลั่นแกล้ง จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 123 เห็นว่า แม้โจทก์จะได้ลงโทษจำเลยที่ 14 โดยการภาคทัณฑ์มาก่อนแล้วก็ตาม แต่โจทก์จะนำความผิดที่เคยลงโทษแล้วนั้นมาเป็นเหตุเลิกจ้างจำเลยที่ 14 โดยที่มิได้กระทำความผิดใหม่อีกหาได้ไม่ ส่วนข้อที่โจทก์กล่าวอ้างว่า หลังจากโจทก์ลงโทษภาคทัณฑ์จำเลยที่ 14 แล้ว จำเลยที่ 14 ได้กระทำความผิดใหม่โดยทำบัตรสนเท่ห์ใส่ความผู้บังคับบัญชาและพูดว่านายชัยวุฒิไม่ยุติธรรม เป็นการหมิ่นประมาทผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างนั้น เห็นว่า เมื่อศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 14 เป็นผู้ทำบัตรสนเท่ห์และจำเลยที่ 14 ไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทนายชัยวุฒิแล้ว โจทก์จะอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงซึ่งศาลแรงงานกลางฟังเป็นยุติแล้วไม่ได้เพราะต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 สำหรับกรณีที่โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 14 โดยมิได้มีการกลั่นแกล้งนั้น ไม่ใช่เหตุซึ่งทำให้การเลิกจ้างของโจทก์เป็นการชอบด้วยพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา123 กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน