คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 796/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีก่อนศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าโจทก์คดีนี้ได้แย่งการครอบครองที่พิพาทของจำเลยมาเกิน1ปีแล้วจำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีก่อนไม่มีสิทธิฟ้องจึงต้องฟังเป็นยุติว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่พิพาทผลแห่งคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีก่อนตามป.วิ.พ.มาตรา145ดังนั้นเมื่อจำเลยรบกวนการครอบครองที่พิพาทของโจทก์โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้จำเลยจะโต้เถียงอีกว่าความจริงที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันและจำเลยเป็นผู้ทำประโยชน์ตลอดมาหาได้ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนมันสำปะหลังและต้นกล้วยของจำเลยออกไปจากบริเวณที่สดินส่วนที่โจทก์ครอบครองพร้อมเรียกค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของสิทธิครอบครองที่ดินตามที่โจทก์ฟ้อง ที่ดินดังกล่าวเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่หวงห้ามไว้เป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ยังไม่ได้ถอนสภาพ และจำเลยเป็นผู้ทำประโยชน์ตลอดมา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขุดถอนมันสำปะหลังและต้นกล้วยของจำเลยออกไปจากที่พิพาท ทำที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องที่พิพาทต่อไป ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินเดือนละ 300 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบที่พิพาทแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์จำเลยหรือผู้ใดไม่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง จำเลยเป็นฝ่ายยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทอยู่ก่อนโจทก์ย่อมมีสิทธิดีกว่าโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทและเรียกค่าเสียหายจากจำเลย พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์จำเลยเคยพิพาทฟ้องร้องเกี่ยวกับที่ดินพิพาทแปลงนี้มาก่อนแล้วตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 93/2525ของศาลชั้นต้น และคดีถึงที่สุดโดยคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งได้วินิจฉัยว่าจำเลย (โจทก์คดีนี้) ได้แย่งการครอบครองที่พิพาทของโจทก์ (จำเลยคดีนี้) มาเกิน 1 ปี แล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจึงฟังเป็นยุติได้ว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่พิพาท ผลแห่งคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 จำเลยจำต้องยอมรับผลแห่งคำพิพากษานั้นจะมาโต้เถียงอีกว่าความจริงที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน และจำเลยเป็นผู้ทำประโยชน์อยู่ตลอดมา ทั้ง ๆ ที่ตนต้องคำพิพากษาให้เป็นฝ่ายแพ้คดีอีกหาได้ไม่ มิฉะนั้นแล้วคำพิพากษาของศาลย่อมจะไร้ผลดังนั้น เมื่อจำเลยรบกวนการครอบครองที่พิพาทของโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย และเรียกค่าเสียหายได้ และเห็นว่าค่าเสียหายที่ศาลชั้นต้นกำหนดนั้นเป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้ว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นล
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ1,000 บาท”.

Share