แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และโจทก์ครอบครองตลอดมา การที่จำเลยไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทจึงเป็นเพียงการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ เมื่อจำเลยไม่ได้เข้าไปแย่งการครอบครองที่พิพาท แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยหลังจากจำเลยขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เกินกว่า 1 ปี โจทก์ก็มีสิทธิฟ้องจำเลยได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดตราจองเลขที่ 3457 และมีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่าซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 3 ตำบลพรหมพิราม อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก เนื้อที่ 3 ไร่จำเลยทั้งสองได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ครอบครองที่ดินบางส่วนที่โจทก์ครอบครอง และมีกรรมสิทธิ์เพื่อขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดิน (น.ส.3ก.)โจทก์คัดค้าน เจ้าพนักงานที่ดินไม่ได้ทำการไต่สวนและออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) เลขที่ 2187 ตำบลพรหมพิราม อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก เนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 10 ตารางวา แก่จำเลยทั้งสอง การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ขอห้ามให้จำเลยทั้งสองยุ่งเกี่ยวในที่ดินตามโฉนดตราจองเลขที่ 3457และที่ดินที่โจทก์ครอบครองซึ่งอยู่ที่หมู่ที่ 3 ตำบลพรหมพิรามอำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก และให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) เลขที่ 2187 ตำบลพรหมพิราม อำเภอพรหมพิรามจังหวัดพิษณุโลก โดยให้ใส่ชื่อโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินตามโฉนดตราจองเลขที่ 3457 แต่เป็นที่ดินมือเปล่าซึ่งเดิมเป็นที่ป่า นายยันต์นางเกลี้ยงยกให้นางพลอย เหมือนมี มารดาจำเลยที่ 2 นางพลอยได้เข้าบุกเบิกทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้ง ต่อมาเมื่อพ.ศ. 2518 นางพลอยตาย จำเลยที่ 2 รับมรดกที่ดินดังกล่าวและครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยสงบ โดยเปิดเผย และโดยเจตนาเป็นเจ้าของสืบต่อมาจำเลยที่ 2 ได้ไปออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทและยกที่ดินส่วนหนึ่งให้แก่จำเลยที่ 1 ทั้งจำเลยทั้งสองได้แสดงตัวเป็นเจ้าของในที่ดินพิพาทโดยสงบ โดยเปิดเผยและโดยเจตนาเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทมาเกินกว่า 1 ปีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่2187 ตำบลพรหมพิราม อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ของจำเลยเฉพาะส่วนที่ออกทับที่ดินโจทก์ตามโฉนดเลขที่ 3457 ตำบลพรหมพิราม อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ห้ามจำเลยทั้งสองเข้าไปยุ่งเกี่ยวในที่ดินมีโฉนดของโจทก์ คำขออื่นให้ยก
โจทก์จำเลยทั้งสองต่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินตามแผนที่พิพาท เนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 10 ตารางวา ให้เพิกถอนชื่อจำเลยออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) เลขที่ 2187 ตำบลพรหมพิราม อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก และให้ใส่ชื่อโจทก์แทนนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ และโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา การที่จำเลยทั้งสองไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์จึงเป็นเพียงการโต้แย้งสิทธิของโจทก์แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยทั้งสองหลังจากจำเลยทั้งสองขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เกินกว่า 1 ปี โจทก์ซึ่งเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ก็มีสิทธิฟ้องจำเลยได้ เพราะข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ นายโทน นาคทอง นายทอง นาคทอง และของจำเลยที่ 1 ว่าเมื่อนางพลอยตายแล้ว จำเลยที่ 2 ไปทำงานที่กรุงเทพมหานคร บ้านว่างไว้บุตรของจำเลยที่ 1 เพิ่งเข้าไปอยู่เมื่อโจทก์ฟ้องคดีแล้ว แสดงว่าฝ่ายจำเลยไม่ได้เข้าไปแย่งการครอบครองที่ดินพิพาท ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.