คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 795/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เหตุเกิดเมื่อรถเลี้ยวซ้ายเลยหัวโค้งไปแล้ว 10 เมตรเศษแม้ไฟหน้ารถจำเลยจะดับ ถ้าจำเลยขับรถไม่เร็วเกินไปแล้วรถก็จะไม่ไถลไปทางขวาจนตกถนนและเกิดการกระทบกระแทกโดยแรง จำเลยมิได้แสดงว่าเหตุที่ไฟหน้ารถดับนั้นเป็นเพราะพฤติการณ์ที่จำเลยไม่ต้องรับผิดชอบโดยได้ใช้ความระมัดระวังอันควรคาดหมายได้แล้ว จำเลยจึงไม่มีทางอ้างเอาเหตุที่ไฟหน้ารถดับว่าเป็นเหตุสุดวิสัยได้
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายตั้งแต่วันฟ้องต่อไปเป็นรายเดือนเดือนละ 3,000 บาท ไม่มีกำหนดเวลากี่เดือน และไม่มีกำหนดว่าจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จเพราะมิใช่กรณีดอกเบี้ยค่าเช่าหรือค่าเสียหาย ระหว่างที่ยังค้างชำระหนี้อยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(3,4) การที่ศาลกำหนดค่าเสียหายให้จำเลยชำระเป็น จำนวนแน่นอน จำนวนหนึ่งสำหรับทดแทนความเสียหายของโจทก์ ในอนาคตดังนี้จะเป็นการเกินคำขอหาได้ไม่ ส่วนที่ว่าโจทก์มิได้เสีย ค่าขึ้นศาลในคำขอเช่นนี้มาด้วยนั้น เห็นว่าคำขอให้ชำระค่าเสียหาย ในอนาคตดังที่โจทก์ขอมาเป็นรายเดือนนั้น โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาล50 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 4 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหากจากค่าขึ้นศาลในคำขออื่น ๆ ของโจทก์ โจทก์มิได้เสียค่าขึ้นศาลในส่วนนี้มาในศาลชั้นต้น แต่ก็มิใช่ว่า โจทก์ขัดขืนไม่ยอมเสียค่าฤชาธรรมเนียมอันจะเป็นเหตุให้ศาล ไม่รับคำฟ้อง ข้อนี้จึงไม่เป็นข้อที่จำเลยจะอ้างขึ้นให้ศาลฎีกา ยกคำขอของโจทก์ในส่วนนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อตั๋วโดยสารรถยนต์ประจำทางจากบริษัทจำเลยที่ 1 ไปจังหวัดสุพรรณบุรี โดยสารรถยนต์ซึ่งจำเลยที่ 3 เป็นพนักงานขับรถ จำเลยที่ 3 ขับรถเร็วมาก ด้วยความประมาทปราศจากความระวังรถเสียหลักแฉลบตกลงไปข้างทาง โจทก์ได้รับบาดเจ็บจำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 ซึ่งนำรถคันนี้ของจำเลยที่ 2 มาเดินร่วมกับจำเลยที่ 1 ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินค่ารักษาพยาบาล 30,000 บาท ค่าขาดประโยชน์ 15,000 บาท และต่อไปตั้งแต่วันฟ้องเดือนละ 3,000 บาท จนกว่าจะหายเป็นปกติ

จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 2 นำรถคันนี้มาร่วมเดินในเส้นทางสัมปทานของจำเลยที่ 1 มิใช่หาประโยชน์ร่วมกัน จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์

จำเลยที่ 2, 3 ให้การว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้ขับรถด้วยความเร็วสูงหรือประมาท โจทก์มิได้เสียหายตามจำนวนที่ฟ้อง จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนบริษัทมิตรบำรุงขนส่ง จำกัด ไม่ใช่เจ้าของรถ จำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างบริษัทมิตรบำรุง จำกัด ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ 2

ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายเป็นค่ารักษารวม 20,000 บาท ค่าขาดประโยชน์เพราะไม่สามารถประกอบอาชีพวันละ 100 บาท ถึงวันฟ้อง 5 เดือน เป็นเงิน 15,000 บาท ค่าเสียหายต่อไปเดือนละ 3,000 บาท ศาลชั้นต้นเห็นควรกำหนดให้ตามระยะเวลา 2 ปี เป็นเงิน 72,000 บาท รวมทั้งสิ้น 107,000 บาท

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้โดยชอบแล้วว่าเหตุเกิดเมื่อรถเลี้ยวซ้ายเลยหัวโค้งไปแล้ว 10 เมตรเศษ แม้ไฟหน้ารถจะดับถ้าจำเลยขับรถไม่เร็วเกินไปแล้วรถก็จะไม่ไถลไปทางขวาจนตกถนนและเกิดการกระทบกระแทกโดยแรง จำเลยก็มิได้แสดงว่าเหตุที่ไฟหน้ารถดับนั้น เป็นเพราะพฤติการณ์ที่จำเลยไม่ต้องรับผิดชอบโดยได้ใช้ความระวังอันควรคาดหมายได้แล้ว จำเลยจึงไม่มีทางที่จะอ้างเอาเหตุที่ไฟหน้ารถดับว่าเป็นเหตุสุดวิสัยได้

ที่จำเลยฎีกาว่าศาลกำหนดค่าเสียหายให้ดังนี้เป็นการเกินคำขอนั้นศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายตั้งแต่วันฟ้องต่อไปเป็นรายเดือน เดือนละ 3,000 บาท ไม่มีกำหนดเวลาว่ากี่เดือนและไม่มีกำหนดว่าจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จ เพราะกรณีมิใช่ดอกเบี้ยค่าเช่า หรือค่าเสียหายระหว่างที่ยังค้างชำระหนี้อยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(3,4) การที่ศาลกำหนดค่าเสียหายให้จำเลยชำระเป็นจำนวนแน่นอนจำนวนหนึ่ง สำหรับทดแทนความเสียหายของโจทก์ในอนาคต ดังนี้ จะว่าเป็นการเกินคำขอหาได้ไม่ ส่วนที่ว่าโจทก์มิได้เสียค่าขึ้นศาลในคำขอเช่นนี้มาด้วยนั้น เห็นว่าคำขอให้ชำระค่าเสียหายในอนาคตดังที่โจทก์ขอมาเป็นรายเดือนนั้น โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาล 50 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 4 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหากจากค่าขึ้นศาลในคำขออื่น ๆ ของโจทก์ โจทก์มิได้เสียค่าขึ้นศาลในส่วนนี้มาในศาลชั้นต้น แต่ก็มิใช่ว่า โจทก์ขัดขืนไม่ยอมเสียค่าฤชาธรรมเนียมอันจะเป็นเหตุให้ศาลไม่รับคำฟ้องข้อนี้ไม่เป็นข้อที่จำเลยจะอ้างขึ้น ให้ศาลฎีกายกคำขอของโจทก์ในส่วนนี้

พิพากษายืน

Share