แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีฟ้องหาว่าเบิกความเท็จนั้นถึงแม้โจทก์จะอ้างคำเบิกความของจำเลยในคดีที่เป็นเหตุให้จำเลยถูกฟ้องฐานเบิกความเท็จ และปรากฏมีข้อความในคำเบิกความนั้นว่า’ข้าพเจ้าพยานได้สาบานตนแล้ว’ ก็ตาม ข้อความดังกล่าวก็เป็นแต่เพียงแบบพิมพ์ซึ่งได้ตีพิมพ์ไว้ก่อนและเพราะในการเบิกความเป็นพยานในศาลก็หามีกฎหมายบังคับให้พยานทุกคนต้องสาบานหรือปฏิญาณตัวก่อนเบิกความไม่ฉะนั้นเมื่อจำเลยปฏิเสธและโจทก์ไม่ได้นำสืบพยานบุคคลถึงความข้อนี้เลย ก็ลงโทษจำเลยฐานเบิกความเท็จไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้สาบานตัวที่จะให้ถ้อยคำเบิกความเป็นพยานต่อศาลในการพิจารณาคดีอาญา จำเลยได้บังอาจเอาความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จมาเบิกความในข้อสำคัญในคดีนั้น ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 155, 156
จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ตามที่โจทก์นำสืบมานั้น ไม่มีพยานที่ได้เห็นหรือได้ยินจำเลยสาบานหรือปฏิญาณตนอันเป็นหน้าที่โจทก์จะต้องนำสืบให้ปรากฏตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 155, 156 ทั้งข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาก็ฟังลงโทษจำเลยไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยมีผิด พิพากษากลับให้ลงโทษและเพิ่มโทษคงจำคุก 8 เดือน แต่ให้รอการลงโทษ
จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกาขอไม่ให้รอการลงโทษ
ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดฐานเบิกความเท็จตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 155, 156 นั้น ต้องได้ความว่าจำเลยได้สาบานหรือปฏิญาณตัวที่จะให้ถ้อยคำจำเลยให้การปฏิเสธฟ้อง จึงเป็นหน้าที่โจทก์จะต้องนำสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยได้สาบานหรือปฏิญาณตัวแล้ว แต่คดีนี้ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้นำสืบพยานบุคคลถึงความข้อนี้เลย จริงอยู่โจทก์ได้อ้างคำเบิกความของจำเลยลงวันที่ 5 กันยายน 2498 ปรากฏข้อความในคำเบิกความนั้นว่า “ข้าพเจ้าพยานได้สาบานตนแล้ว” แต่ข้อความดังกล่าวนั้นเป็นแต่เพียงแบบพิมพ์ซึ่งได้ตีพิมพ์ไว้ก่อนแล้ว และเพราะในการเบิกความเป็นพยานในศาลก็หามีกฎหมายบังคับให้พยานทุกคนต้องสาบานหรือปฏิญาณตัวก่อนเบิกความไม่ ฉะนั้น ในคดีเรื่องที่เป็นเหตุให้จำเลยถูกฟ้อง ความจริงพยานอาจจะไม่ได้สาบานหรือปฏิญาณตัวก็ได้ มาในคดีนี้จำเลยเบิกความว่าจำเลยไม่ได้สาบานหรือปฏิญาณตัวในคดีนั้น พยานหลักฐานโจทก์จึงยังฟังไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยประกอบเป็นองค์ความผิด พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์