คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7909/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

หนี้ต้นเงินกู้ยืมจำนวน 500,000 บาท ที่จำเลยออกเช็คพิพาทสั่งจ่ายให้แก่โจทก์กับดอกเบี้ยของต้นเงินกู้ยืมดังกล่าวอีกจำนวน7,500 บาท เป็นหนี้คนละส่วนแยกต่างหากจากกันได้ แม้จำนวนดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกเก็บจากจำเลยจะเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดหรือเป็นการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยก็คงมีผลแต่เพียงว่าโจทก์สิ้นสิทธิในการได้รับดอกเบี้ยที่คิดเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดหรือไม่อาจคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยเท่านั้นแต่หาได้สิ้นสิทธิที่จะได้รับต้นเงินกู้ยืมไม่ และหากจำเลยชำระดอกเบี้ยไปแล้วก็หาอาจที่จะเรียกคืนหรือนำไปหักจากต้นเงินกู้ยืมได้ไม่ เมื่อเช็คพิพาทที่จำเลยออกมิได้รวมดอกเบี้ยที่มิชอบเข้าไว้ด้วย การออกเช็คพิพาทของจำเลยจึงเป็นการออกเช็คชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 จำคุก 3 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าการกระทำของจำเลยคดีนี้เป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่าดอกเบี้ยของหนี้ต้นเงินกู้ยืมดังกล่าวซึ่งโจทก์ได้ให้จำเลยจ่ายเดือนละ 7,500 บาท ตามเช็คเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2 นั้นเป็นการคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด และเป็นการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยซึ่งผิดกฎหมาย ดังนั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง เห็นว่า หนี้ต้นเงินกู้ยืมจำนวน 500,000บาท ที่จำเลยออกเช็คพิพาทสั่งจ่ายให้แก่โจทก์ กับดอกเบี้ยของต้นเงินกู้ยืมดังกล่าวอีกจำนวน 7,500 บาท ที่จำเลยอ้างมาในฎีกานั้น เป็นหนี้คนละส่วนแยกต่างหากจากกันได้ แม้จำนวนดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกเก็บจากจำเลยจะเกินจากอัตราที่กฎหมายกำหนดหรือเป็นการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยก็คงมีผลแต่เพียงว่าโจทก์สิ้นสิทธิในการได้รับดอกเบี้ยที่คิดเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดหรือไม่อาจคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยเท่านั้น แต่หาได้สิ้นสิทธิที่จะได้รับต้นเงินกู้ยืมไม่ และหากจำเลยชำระดอกเบี้ยไปแล้วก็หาอาจที่จะเรียกคืนหรือนำไปหักจากต้นเงินกู้ยืมได้ไม่เมื่อเช็คพิพาทที่จำเลยออกมิได้รวมดอกเบี้ยที่มิชอบดังที่จำเลยฎีกาเข้าไว้ด้วย การออกเช็คพิพาทของจำเลยจึงเป็นการออกเช็คชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อเช็คดังกล่าวไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้เพราะขณะที่ออกไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงใช้เงินได้การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามฟ้อง ดังนั้น ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าดอกเบี้ยของหนี้ต้นเงินกู้ยืมดังกล่าวจะคิดเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด และเป็นการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยซึ่งผิดกฎหมายดังที่จำเลยฎีกาหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า สมควรลงโทษจำเลยในสถานเบาและรอการลงโทษให้จำเลยหรือไม่ เห็นว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้เงินกู้ยืมจำนวน 500,000 บาท นับว่าเป็นเงินจำนวนมาก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1กำหนดลงโทษมาเป็นเวลาเพียง 3 เดือน นับว่าเป็นการเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงแก้ไข อีกทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำการใดอันเป็นการบรรเทาผลเสียหายให้แก่โจทก์เลยที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยโดยไม่รอการลงโทษนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share