แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พินัยกรรมที่กำหนดให้ผู้จัดการมรดกยกทรัพย์ให้บุตรคนใดคนหนึ่งของเจ้ามรดกนั้น ใช้ได้ตามมาตรา 1706 ข้อ 2
ผู้จัดการมรดกหลายคนครั้งแรกได้ตกลงพร้อมกันเป็นหนังสือว่าจะยกทรัพย์ให้แก่บุตรของเจ้ามรดกคนใดคนหนึ่งตามข้อกำหนดในพินัยกรรมแล้วแม้ภายหลังผู้จัดการมรดกส่วนมาก จะกลับใจยกทรัพย์ให้บุตรของเจ้ามรดกคนอื่นอีกก็ไม่มีผลเพราะถือว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ผู้จัดการมรดกเสร็จแล้วตั้งแต่เมื่อตกลงกันครั้งแรก
ย่อยาว
ความว่า พ. ได้ทำพินัยกรรมตั้งให้นายนุ่น, นางพวง นางพันและนางอุยจำเลยเป็นผู้จัดการมรดก และพินัยกรรมข้อ 3 มอบอำนาจให้จำเลยทั้ง 4 พิจารณาว่าควรจะยกที่ดิน 3 แปลงของ พ. ให้แก่บุตรคนใดคนหนึ่งที่เห็นควร ชั้นแรกจำเลยทั้ง 4 ได้ตกลงกันเป็นหนังสือให้ยกที่พิพาท ซึ่งเหลือ 2 แปลงให้แก่นายปริญญาบุตรโจทก์ต่อมานายอุย, นางพวง นายพัน จำเลยกลับใจใหม่เห็นว่าควรยกให้นายปริญญาและบุตรนางจิ้มลิ้มคนละครึ่ง นายนุ่นคนเดียวคงเห็นดังเดิมโจทก์ฟ้องให้โอนที่ดิน2 แปลงให้โจทก์ นายนุ่นจำเลยรับตามฟ้องส่วนจำเลยอีก 3 คนให้การว่าควรแบ่งมรดกตามความเห็นข้างมาก และอื่น ๆ หลายประการ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า การตกลงทั้ง 2 ครั้งยังไม่เด็ดขาดยังไม่ได้โอนทะเบียน พินัยกรรมไม่มีผลในกฎหมายต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1706 ข้อ 3 นางจิ้มลิ้มผู้แทนบุตร 3 คนไม่ได้ฟ้องแย้ง จึงไม่มีประเด็นวินิจฉัย พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า พินัยกรรมข้อ 3 ต้องตามมาตรา 1706 ข้อ 2 เมื่อยังไม่โอนกรรมสิทธิ์ผู้จัดการย่อมกลับใจได้ การตกลงครั้งแรกเท่ากับสัญญาว่าจะยกให้ ซึ่งยังไม่สมบูรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า พินัยกรรมใช้ได้ตามมาตรา 1706 ข้อ 2 แห่งข้อยกเว้นดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัย แต่เรื่องนี้จำเลยทั้ง 4 คนได้เห็นชอบพร้อมกันแล้วว่านายปริญญาเป็นผู้สมควรได้ที่ดินทั้งหมดจึงทำหนังสือไว้เป็นหลักฐาน นับว่าได้ปฏิบัติตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดกไปตามพินัยกรรมเสร็จแล้ว จำเลยบางคนจะกลับใจเปลี่ยนใจอีกไม่ได้ ต้องถือตามนิติกรรมที่จำเลยทำไว้ พิพากษากลับให้ที่ดิน 2 แปลงเป็นของนายปริญญา โจทก์