แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การรับสภาพหนี้ไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 เดิม (มาตรา 193/14(1) ใหม่)ดังนั้นการที่ศาลรับฟังพยานบุคคลแล้วนำไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความตามหนังสือรับสภาพหนี้ จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 กู้เงินไปจากโจทก์ 90,000 บาทดอกเบี้ยตามกฎหมาย โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาจำเลยทั้งสองทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้โดยยอมใช้เงินให้แก่โจทก์ 120,000บาท แต่ผิดนัด ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 120,542.30บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 120,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 2 มิได้กู้เงินโจทก์จำเลยที่ 1เป็นผู้กู้เงินโจทก์ 40,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือนโดยมอบที่ดินบางส่วนให้โจทก์ทำนาแทนดอกเบี้ย ต่อมาโจทก์ตกลงออกไปจากที่ดินโดยให้จำเลยทั้งสองทำหนังสือรับสภาพหนี้ยินยอมจะชำระเงิน120,000 บาท ให้แก่โจทก์ซึ่งโจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราดังกล่าวรวมด้วยเป็นเวลา 3 ปี 4 เดือน เป็นเงิน 80,000 บาท เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายดอกเบี้ยจึงตกเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกให้ชำระดอกเบี้ยได้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 40,000 บาทกับดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2533จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับฟังพยานบุคคลแล้วนำไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความหนังสือรับสภาพหนี้นั้นศาลฎีกาเห็นว่า การรับสภาพหนี้นั้น ไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือเสมอไป เพราะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 เดิม(มาตรา 193/14(1) ใหม่) บัญญัติว่า ถ้าลูกหนี้รับสภาพต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องด้วยทำหนังสือรับสภาพให้ก็ตาม หรือทำการอย่างใดอย่างหนึ่งอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องนั้น ก็ใช้ได้ ดังนั้น การรับสภาพหนี้จึงไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1รับฟังพยานบุคคลแล้วนำไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความตามหนังสือรับสภาพหนี้ จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข)
พิพากษายืน