คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2007/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำสั่งศาลชั้นต้นที่ว่า ‘คดีก่อนศาลสั่งจำหน่ายคดีโจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ได้อีกไม่เป็นฟ้องซ้ำ. ให้ดำเนินคดีสืบพยานโจทก์ไป’ นั้น หาทำให้คดีเสร็จสำนวนไม่. เพราะศาลยังต้องทำการสืบพยานและพิพากษาชี้ขาดต่อไป. เมื่อมีการอุทธรณ์คำสั่งนี้. จึงเป็นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณา. ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมคบกันทำเอกสารปลอมแจ้งความเท็จ เบิกความเท็จ นำสืบแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี ขอให้ลงโทษ จำเลยให้การปฏิเสธและสู้ว่า โจทก์เคยฟ้องจำเลยในข้อหาเดียวกันนี้มาแล้วเฉพาะจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีเพราะโจทก์ทิ้งฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง จำเลยขอให้ศาลวินิจฉัยว่า โจทก์จะฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ได้อีกหรือไม่ ในวันชี้สองสถานโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลอนุญาต ส่วนจำเลยที่ 1 ศาลสั่งว่าคดีก่อนศาลสั่งจำหน่ายคดี โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ได้อีก ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ให้ดำเนินคดีสืบพยานโจทก์ไป จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ อ้างว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196 จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืน จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ได้สั่งว่า คดีก่อนศาลสั่งจำหน่ายคดีโจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ได้อีก ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ให้ดำเนินคดีสืบพยานโจทก์ไปนั้น คำสั่งดังกล่าวหาได้ทำให้คดีเสร็จสำนวนไม่ เพราะศาลยังต้องทำการสืบพยานและพิพากษาชี้ขาดต่อไป อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวนเป็นการต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196 พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย.

Share