คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 788/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสามไล่ตามผู้เสียหายทั้งสองไปจนทันแล้ว จำเลยที่ 3 ตบหน้าและชิงเอาเงินของผู้เสียหายไป โดยจำเลยที่ 2ล็อกคอผู้เสียหายอีกคนหนึ่งไว้เพื่อมิให้เข้าช่วยเหลือกันจำเลยที่ 1 แนะนำให้พาผู้เสียหายทั้งสองเข้าไปในซอยจำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็ล็อกคอและลากตัวผู้เสียหายทั้งสองเข้าไปในซอย แล้วจำเลยที่ 3 ลงมือทำร้ายผู้เสียหายอีก แม้จำเลยที่ 1 จะห้ามปรามก็เป็นขณะที่การประทุษร้ายต่อทรัพย์ได้ผ่านพ้นไปแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นการกระทำร่วมกับจำเลยที่ 3 มาตั้งแต่ต้นจนเหตุการณ์สิ้นสุดลง การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2528 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันปล้นทรัพย์เอาธนบัตรรัฐบาลไทยรวมมูลค่า 102 บาท ของนายวันชัย เสลารัตน์ ผู้เสียหาย ไปโดยทุจริต โดยจำเลยทั้งสามดังกล่าวได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหาย และนายกำพร้า นาคกระสัย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 83 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคแรก, 83 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14 จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 12 ปี แต่สำหรับจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 8 ปี
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุก 10 ปี จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 6 ปี 8 เดือน ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘คดีคงมีปัญหาว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 3 ด้วยหรือไม่ จากข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์กับจำเลยที่ 3 นับตั้งแต่จำเลยทั้งสามได้ไล่ตามนายวันชัย เสลารัตน์ และนายกำพร้า นาคกระสัย ผู้เสียหายทั้งสองจนไปทันกัน ณ จุดที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 3 ได้ทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองโดยการตบหน้าและชิงเอาเงินจำนวน 102บาท ไปจากนายวันชัย เสลารัตน์ จากนั้นก็ได้ร่วมกันนำผู้เสียหายทั้งสองเข้าไปในซอยวัดสังข์กระจายและพูดข่มขู่มิให้นำความไปบอกแก่ผู้ใด หลังจากนั้นจึงได้ปล่อยตัวผู้เสียหายทั้งสองไประหว่างระยะเวลาเหล่านี้ จำเลยที่ 1และที่ 2 ได้อยู่ร่วมกับจำเลยที่ 3 โดยตลอดทั้งยังได้ความต่อไปว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้เข้ามาล็อกคอนายกำพร้าไว้ซึ่งการกระทำของจำเลยที่ 2 เช่นนี้ก็ด้วยเจตนาที่จะไม่ให้นายกำพร้าเข้าช่วยเหลือผู้เสียหายนั่นเอง และการที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้แนะนำให้พาผู้เสียหายทั้งสองเข้าไปในซอยวัดสังข์กระจาย โดยเกรงว่าตรงจุดที่เกิดเหตุอยู่ริมถนนเป็นการเสี่ยงต่อสายตาของผู้ที่สัญจรผ่านไปมาอาจพบเห็นโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงพาผู้เสียหายทั้งสองเข้าไปในซอยวัดสังข์กระจายในลักษณะล็อกคอดึงลากตัวไป และเมื่อเข้ามาในซอยขณะจำเลยที่ 3ลงมือทำร้ายโดยการตบหน้าผู้เสียหายอีก ส่วนที่จำเลยที่ 1ได้ห้ามปรามนั้นก็เป็นขณะที่การประทุษร้ายต่อทรัพย์ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ข้อเท็จจริงอันเป็นพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1และที่ 2 เช่นนี้จึงฟังได้แล้วว่าเป็นการกระทำที่ร่วมกับจำเลยที่ 3 มาตั้งแต่เริ่มต้นจนเหตุการณ์สิ้นสุดลง หาใช่เป็นเรื่องจำเลยที่ 1 และที่ 2 เข้ามาอยู่ในเหตุการณ์ในลักษณะที่มีเจตนาเพื่อจะห้ามปรามจำเลยที่ 3 มิให้กระทำความผิดดังที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อสู้ไม่ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2และมีผลทำให้จำเลยที่ 3 กลายเป็นมีความผิดเพียงฐานชิงทรัพย์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย…’
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share