แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาประนีประนอมยอมความในศาลระหว่างโจทก์จำเลยระบุเงื่อนไขไว้เพียงว่า หากโจทก์มีความจำเป็นทำการเพื่อประโยชน์ในการรถไฟแล้ว โจทก์จึงจะขอให้จำเลยออกจากที่รายพิพาทได้ ฉะนั้น การที่จำเลยได้เบิกความเป็นพยานในคดีที่บิดาจำเลยฟ้องโจทก์จำเลยว่าที่รายพิพาทเป็นของนายเงินจึงไม่เกี่ยวกับเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวแต่ประการใด โจทก์จะยกเหตุอื่นมาฟ้องขับไล่จำเลยไม่ได้ เพราะโจทก์ต้องผูกพันตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่รายพิพาทเป็นของโจทก์ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2501 จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยต่อศาล ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันให้จำเลยคดีนี้อาศัยอยู่จนตลอดชีวิต เว้นแต่เมื่อโจทก์มีความจำเป็นจะทำการเพื่อประโยชน์ในการรถไฟและจำเลยรับรองกรรมสิทธิ์ในที่รายพิพาทว่าเป็นของโจทก์ จำเลยแสดงการเป็นปรปักษ์ต่อโจทก์ และเนรคุณโจทก์ ฯลฯ ขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ ให้จำเลยหมดสิทธิที่จะอาศัยในที่ของโจทก์ ฯลฯ
จำเลยให้การว่ายังไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ
ศาลชั้นต้นสั่งว่าคดีโจทก์พอวินิจฉัยได้ให้งดสืบพยานโจทก์วินิจฉัยว่าโจทก์จะมีสิทธิให้จำเลยออกจากที่พิพาทได้ ก็ในกรณีที่ทางการรถไฟมีความจำเป็นต้องการเพื่อประโยชน์ในการรถไฟเท่านั้นให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความได้ระบุเงื่อนไขไว้เพียงว่าหากทางการรถไฟมีความจำเป็นทำการเพื่อประโยชน์ในการรถไฟแล้วโจทก์จึงจะขอให้จำเลยออกจากที่รายพิพาทได้ ฉะนั้น การที่จำเลยเบิกความเป็นพยานในคดีที่นายเงินบิดาจำเลยฟ้องโจทก์ จำเลยว่าที่พิพาทเป็นของนายเงิน จึงไม่เกี่ยวกับเงื่อนไขดังที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวแต่ประการใด โจทก์จะยกเหตุอื่นมาฟ้องขับไล่จำเลยไม่ได้ เพราะโจทก์ต้องผูกพันตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว
พิพากษายืน