คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 91/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะที่ตำรวจเข้าจับกุมและแย่งปืนกับจำเลยที่ 1 อยู่นั้น จำเลยที่ 2 เข้าช่วยแย่งปืนจากตำรวจ เมื่อตำรวจจับจำเลยที่ 2 ได้จำเลยที่ 2 ได้ร้องบอกให้จำเลยที่ 1 ขว้างระเบิดมือใส่ตำรวจดังนี้ จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานกระทงหนึ่ง และใช้ให้ฆ่าเจ้าพนักงานอีกกระทงหนึ่ง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 บอกให้จำเลยที่ 1 เอาลูกระเบิดมือขว้างเจ้าพนักงาน ก็เท่ากับโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ใช้ให้จำเลยที่ 1 เอาลูกระเบิดมือขว้างเจ้าพนักงานเพื่อจะฆ่าให้ตาย (แม้โจทก์จะไม่ได้อ้างมาตรา 84 มาในคำขอท้ายฟ้องก็ตาม)ถือได้ว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานเป็นผู้ใช้แล้ว
จำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ฆ่าเจ้าพนักงาน แต่จำเลยที่ 1 ไม่กระทำตามจำเลยที่ 2 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 ประกอบด้วยมาตรา 84 วรรค 2 ซึ่งต้องระวางโทษ 1 ใน 3 ของโทษประหารชีวิตกฎหมายไม่ได้บัญญัติโทษ 1 ใน 3 ของโทษประหารชีวิตไว้ จึงต้องนำประมวลกฎหมายอาญามาตรา 52(1) มาใช้เป็นหลักในการกำหนดโทษ กล่าวคือ ให้ลดโทษประหารชีวิตเสีย 1 ใน 3 ก่อน คงเหลือโทษเพียง 2 ใน 3 โดยให้จำคุกขั้นต่ำ 16 ปี แล้วคำนวณเอาเพียงครึ่งหนึ่งของอัตราโทษ 2 ใน 3 ผลลัพธ์ก็คือ ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 8 ปี
โจทก์ไม่ได้ฎีกาในทำนองขอให้เพิ่มโทษ ศาลฎีกาจะพิพากษาเพิ่มโทษจำเลยให้หนักขึ้นหาได้ไม่
ศาลล่างปรับบทกฎหมายไม่ถูกต้อง แม้โจทก์จะไม่ได้ฎีกาขึ้นมาก็ตามศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 30/2509)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า พลตำรวจสมจิตรได้เข้าจับกุมจำเลยในข้อหาว่าร่วมกับพวกทำการปล้นทรัพย์ในคดีเรื่องหนึ่ง นายแอ๊ดจำเลยที่ 1 ได้ใช้ปืนยิงพลตำรวจสมจิตร 2 นัด โดยเจตนาฆ่าและขัดขวางมิให้จับกุมแต่กระสุนปืนไม่ถูกพลตำรวจสมจิตร ครั้นพลตำรวจสมจิตรเข้ากอดปล้ำแย่งปืนจากจำเลยที่ 1 นายสมศักดิ์จำเลยที่ 2 ได้เข้าช่วยเหลือแย่งปืนและบอกให้จำเลยที่ 1 ใช้ลูกระเบิดมือขว้างปาทำร้ายพลตำรวจสมจิตร โดยเจตนาฆ่าและขัดขวางไม่ให้จับกุม แล้วจำเลยทั้งสองหลบหนีไป ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, 288, 289, 80

จำเลยที่ 1 รับสารภาพ จำเลยที่ 2 ปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดฐานพยายามฆ่าและต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289, 138, 80 ให้ลงโทษตามมาตรา 289, 80 ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา 90 จำคุกคนละ20 ปี ลดโทษจำเลยที่ 1 คงจำคุก 10 ปี

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ในฐานะใช้อาวุธปืนยิงเจ้าพนักงาน คงมีผิดฐานใช้ให้จำเลยที่ 1 ใช้ลูกระเบิดมือขว้างเจ้าพนักงาน ถือเสมือนว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการในการนี้ด้วย พิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, 289 ประกอบด้วยมาตรา 80, 84 วรรคสอง ลงโทษตามมาตรา 289, 80 และ 84 วรรคสองอันเป็นบทหนักตามมาตรา 90 ให้จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อพลตำรวจสมจิตรจับกุมนายแอ๊ดจำเลยที่ 1 นั้น นายสมศักดิ์จำเลยที่ 2 ได้เข้าช่วยเหลือนายแอ๊ดให้พ้นจากการจับกุม โดยเข้าแย่งปืนจากพลตำรวจสมจิตรเมื่อตำรวจจับกุมนายสมศักดิ์จำเลยที่ 2 ได้แล้ว จำเลยที่ 2 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ขว้างลูกระเบิดมือใส่เจ้าพนักงานตำรวจที่จับกุมนายสมศักดิ์ด้วยเจตนาจะฆ่าเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่แต่นายแอ๊ดจำเลยที่ 1 ไม่กระทำตามที่นายสมศักดิ์จำเลยที่ 2ใช้ คงพาลูกระเบิดหนีไป

เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังกล่าวแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า การที่นายสมศักดิ์เข้าช่วยเหลือนายแอ๊ดให้พ้นจากการจับกุม โดยเข้าแย่งปืนจากพลตำรวจสมจิตรนั้น เป็นผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่กระทงหนึ่ง และการที่นายสมศักดิ์ใช้ให้นายแอ๊ดขว้างลูกระเบิดมือใส่เจ้าพนักงานตำรวจที่จับกุมนายสมศักดิ์ด้วยเจตนาจะฆ่าเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่นั้น เป็นความผิดอีกกระทงหนึ่ง คดีจึงมีปัญหาที่จะต้องพิจารณาต่อไปว่า การที่นายสมศักดิ์ใช้ให้นายแอ๊ดขว้างลูกระเบิดมือใส่เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ด้วยเจตนาจะฆ่าเจ้าพนักงานแต่นายแอ๊ดไม่กระทำตามที่นายสมศักดิ์ใช้นั้น นายสมศักดิ์จะมีความผิดฐานใด ศาลฎีกาได้พิจารณาปัญหาดังกล่าวโดยที่ประชุมใหญ่แล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นผิดฐานใช้ให้นายแอ๊ดฆ่าเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ แต่นายแอ๊ดผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ จึงเป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 ประกอบด้วย มาตรา 84 วรรค 2 คดีนี้ ถึงแม้โจทก์จะมิได้ฎีกาขึ้นมาก็ตาม ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องได้

คดีมีปัญหาที่จะต้องพิจารณาต่อไปว่า ตามฟ้องของโจทก์ในคดีนี้โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษนายสมศักดิ์จำเลยที่ 2 ฐานใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดด้วยหรือไม่ ศาลฎีกาได้พิจารณาปัญหาดังกล่าวโดยที่ประชุมใหญ่แล้ว เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องโดยชัดแจ้งว่านายสมศักดิ์ได้บอกให้นายแอ๊ดใช้ลูกระเบิดมือขว้างปาทำร้ายพลตำรวจสมจิตรโดยเจตนาจะฆ่าให้ตาย การที่นายสมศักดิ์บอกนายแอ๊ดให้เอาลูกระเบิดมือขว้างเจ้าพนักงานโดยเจตนาจะฆ่าให้ตายนั้น ก็เท่ากับนายสมศักดิ์ใช้ให้นายแอ๊ดเอาลูกระเบิดมือขว้างเจ้าพนักงานเพื่อจะฆ่าให้ตายนั่นเอง จึงถือได้ว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษนายสมศักดิ์ฐานเป็นผู้ใช้นายแอ๊ดฆ่าเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ด้วย

อนึ่ง เมื่อวินิจฉัยว่านายสมศักดิ์จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ประกอบด้วยมาตรา 84 วรรค 2 ดังกล่าวแล้ว คดีมีปัญหาที่จะต้องพิจารณาต่อไปว่า ในกรณีเช่นนี้จะกำหนดโทษจำเลยอย่างไร ในเมื่อมาตรา 289 กำหนดให้ประหารชีวิตสถานเดียว และมาตรา 84 วรรค 2 ก็ให้ลงโทษเพียง 1 ใน 3 ของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ศาลฎีกาได้พิจารณาปัญหาดังกล่าวโดยที่ประชุมใหญ่แล้วมีมติให้นำประมวลกฎหมายอาญามาตรา 52(1) มาใช้เป็นหลักในการกำหนดโทษจำเลย กล่าวคือ ให้ลดโทษประหารชีวิตเสียหนึ่งในสามก่อนคงเหลือโทษเพียง 2 ใน 3 โดยให้จำคุกขั้นต่ำ 16 ปี เมื่อจะต้องลงโทษจำเลยเพียง 1 ใน 3 ของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น คือ ประหารชีวิต ก็คิดคำนวณเอาเพียงครึ่งหนึ่งของอัตราโทษ 2 ใน 3 ดังกล่าวข้างต้น ผลลัพธ์ก็คือ ให้ลงโทษจำคุกจำเลยขั้นต่ำมีกำหนด 8 ปี แต่คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเพียง 6 ปี 8 เดือนโจทก์มิได้ฎีกาในทำนองขอให้เพิ่มโทษจำเลย ศาลฎีกาจะพิพากษาเพิ่มโทษจำเลยให้หนักขึ้นหาได้ไม่

จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะความผิดเกี่ยวกับนายสมศักดิ์ จำเลยที่ 2 เป็นว่า นายสมศักดิ์จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ประกอบด้วยมาตรา 84 วรรค 2 และมาตรา 138 แต่ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ประกอบด้วยมาตรา 84 วรรค 2 และมาตรา 52(1) ซึ่งเป็นกระทงที่หนักที่สุดตามมาตรา 91 นอกจากที่แก้ไขคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share