คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 783/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยพูดขอเช่าที่พิพาทกับผู้แทนโจทก์มีกำหนด 10 ปี ผู้แทนโจทก์รับว่าจะให้เช่าเป็นเวลา 10 ปีตามขอ แต่ให้รอการแบ่งแยกที่ดินมรดกกันเสียก่อน เมื่อรู้ว่าตกเป็นของใครจึงจะค่อยทำสัญญาเช่ากันต่อไป จำเลยเชื่อว่าจะได้เช่ามีกำหนด 10 ปี จึงลงทุนปรับพื้นที่ซึ่งเป็นหลุมบ่อและสร้างเขื่อนริมคลอง ดังนี้ การที่จำเลยกระทำดังนั้นก็เพื่อประโยชน์ของจำเลยเอง ไม่ได้เป็นข้อตกลงหรือข้อเรียกร้องจากฝ่ายเจ้าของที่ดินแต่อย่างใด ตามพฤติการณ์จึงไม่มีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนตามกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประการซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับผู้อื่นในที่ดินโฉนดที่ ๔๑๒๖ จำเลยได้เช่าที่ดินที่ว่างส่วนหนึ่งเลขโฉนดดังกล่าวจากผู้แทนเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมให้เพื่อให้เช่าช่วงวางสิ่งของต่าง ๆ โดยไม่มีกำหนดเวลา ค่าเช่าเดือนละ ๒,๕๐๐ บาท จำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าเดือนพฤษภาคม ๒๕๐๓ ติดต่อกันมาหลายเดือน จนกระทั่งที่ดินแปลงที่จำเลยเช่าตกเป็นของพระองค์เจ้าจิรศักดิ์ฯ ผู้เดียวซึ่งแยกออกเป็นโฉนดใหม่เลขที่ ๘๗๗๒ โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่า ให้ส่งมอบที่ดินคืน จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหายเป็นเงิน ๙๔,๕๐๐ บาท ขอให้ขับไล่กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ฯลฯ
จำเลยให้การว่า ได้พูดทำความเข้าใจกับสำนักงานเทพศรีหริศว่าจะขอเช่า ๑๐ ปี โดยขอให้จดทะเบียนการเช่าสำนักงานชี้แจงว่าที่ดินทั้งหมดยังไม่ได้แบ่งแก่ทายาท ยังทำสัญญาเช่าไม่ได้ รอไว้เมื่อที่เช่าได้แบ่งเป็นของทายาทคนใดแล้วจึงค่อยทำ โดยเจ้าของคงไม่บอกเลิกการเช่า ในชั้นนี้ให้จำเลยปลูกสร้างไปโดยเสียค่าเช่า ๖ เดือนแรกเดือนละ ๑,๐๐๐ บาทต่อไปเดือนละ ๒,๕๐๐ บาท จำเลยจึงได้ลงทุนสร้างสิ้นเงิน ๒๒๙,๖๐๐ บาท ค่าเช่าเดือนพฤษภาคม ๒๕๐๓ ถึงมิถุนายน ๒๕๐๔ จำเลยชำระแล้ว ส่วนค่าเช่าต่อจากนั้นโจทก์ไม่ยอมรับเอง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์และให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกไปจากที่ของโจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๒,๕๐๐ บาท ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๐๔ เป็นต้นไป
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะค่าเสียหายเป็นให้จำเลยใช้ให้โจทก์เดือนละ ๘,๐๐๐ บาท
จำเลยฎีกาฝ่ายเดียว
ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาข้อ ๑ ที่จำเลยกล่าวว่าการเช่าที่ดินพิพาทของจำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนนั้น จำเลยนำสืบว่าเมื่อจำเลยไปพูดขอเช่ากับผู้แทนโจทก์นั้น จะขอเช่ามีกำหนด ๑๐ ปี เพราะจะต้องลงทุนก่อสร้างเป็นจำนวนมาก ผู้แทนโจทก์รับว่าจะให้เช่าเป็นเวลา ๑๐ ปีตามขอ แต่ให้รอการแบ่งแยกที่ดินมรดกเสียก่อน เมื่อรู้ว่าตกเป็นของใครจึงค่อยทำสัญญาเช่ากันต่อไป จำเลยเชื่อว่าคงจะได้เช่ามีกำหนด ๑๐ ปี จึงลงทุนปรับพื้นที่ซึ่งเป็นหลุมบ่อและสร้างเขื่อนริมคลอง ฯลฯ ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยทำดังนั้นก็เพื่อประโยชน์ของจำเลยเอง ไม่ได้เป็นข้อตกลงหรือข้อเรียกร้องจากฝ่ายเจ้าของที่ดินแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าตามพฤติการณ์ที่ได้ความนั้นไม่มีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนตามกฎหมายนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
นอกจากนี้ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยได้รับทราบการบอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว และที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๘,๐๐๐ บาทนั้นก็เห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน.

Share