คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีที่ข้อเท็จจริงมีเพียงว่า มีผู้แจ้งความ (ในข้อหาชิงทรัพย์)เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2508 ต่อมาวันที่ 14 สิงหาคม 2508 สายลับแจ้งว่าจำเลยกลับมานอนบ้านเจ้าพนักงานจึงไปจับจำเลยเข้าจับเวลา 5.40 นาฬิกา ไม่ปรากฏว่ามีการขออนุญาตพิเศษจากผู้ว่าราชการจังหวัดหรือไม่อาจขอได้ทันเพราะเหตุใด เช่นนี้คดีไม่พอจะฟังว่าเป็นการฉุกเฉินอย่างยิ่งฉะนั้น การที่เจ้าพนักงานจับจำเลยในที่รโหฐานในเวลากลางคืนจึงไม่มีอำนาจที่จะทำได้หากจำเลยต่อสู้จำเลยก็ไม่มีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 96(2))
จำเลยให้การว่า ได้ทำร้ายเจ้าพนักงานจริง แต่ต่อสู้ว่า สำคัญผิดว่าเป็นคนร้ายและได้ต่อสู้เช่นนี้มาตั้งแต่ชั้นสอบสวนเมื่อพิเคราะห์การกระทำของเจ้าพนักงานที่ขึ้นไปจับจำเลยบนเรือนในเวลากลางคืนขณะจำเลยยังนอนอยู่และทันทีที่รู้ตัวจำเลยก็ลุกขึ้นสู้เช่นนี้ น่าเชื่อว่าจำเลยไม่ทันเข้าใจว่าเป็นเจ้าพนักงาน และการกระทำของจำเลยเท่าที่ได้กระทำไปนั้น (มีดฟัน 1 ที) ก็พอสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงไม่มีความผิด (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2508 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงสิบตำรวจตรีจำเนียร สิบตำรวจโทหอม สิบตำรวจโทเสงี่ยมและพลตำรวจสมัครสุวิทย์ได้ร่วมกับร้อยตำรวจเอกสินธ์ ผู้บังคับกองสถานีตำรวจอำเภอแสวงหา ไปจับนายตุ้ม และจำเลยในข้อหาชิงทรัพย์ของนายชิดซึ่งนายชิดได้แจ้งขอให้จับและร้องทุกข์ไว้แล้ว จำเลยนี้ได้ต่อสู้ขัดขวางและทำร้ายร่างกายสิบตำรวจตรีจำเนียร ขอให้ลงโทษ

จำเลยให้การว่า ได้ทำร้ายเจ้าพนักงานตำรวจจริง เพราะสำคัญผิดว่าเป็นคนร้าย บาดแผลที่ทำร้ายจะมากน้อยเพียงใด ไม่ทราบ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิด ให้ลงโทษจำคุก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วโจทก์ชี้แจงมาในฎีกาว่า จำเลยเป็นผู้ร้ายสำคัญเมื่อเจ้าพนักงานทราบจากสายลับแล้วไม่สามารถขออนุญาตพิเศษจากผู้ว่าราชการจังหวัดได้ทัน จึงถือได้ว่าเป็นกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่ง ข้อเท็จจริงมีเพียงว่า มีผู้แจ้งความเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2508 ต่อมาวันที่ 14 สิงหาคม 2508 สายลับจึงแจ้งว่าจำเลยกลับมานนอนที่บ้าน ครั้นเวลาประมาณ 3.00 นาฬิกา เจ้าพนักงานจึงพากันไปจับจำเลยและเข้าจับเวลา 5.40 นาฬิกา ไม่ปรากฏว่ามีการขออนุญาตพิเศษจากผู้ว่าราชการจังหวัด หรือไม่อาจขอได้ทันเพราะเหตุใดกรณีฉุกเฉินตามมาตรา 96(2) ต้องเป็นการฉุกเฉินอย่างยิ่งจึงจะต้องด้วยข้อยกเว้นนั้น ศาลฎีกาพิจารณาข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบมาแล้ว เห็นว่าคดีไม่พอจะฟังว่ากรณีนี้เป็นการฉุกเฉินอย่างยิ่งฉะนั้นการที่เจ้าพนักงานไปจับจำเลยในที่รโหฐาน ในเวลากลางคืนจึงไม่มีอำนาจที่จะทำได้ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ตามนัยฎีกาที่ 187/2507

โจทก์นำสืบด้วยว่า เมื่อขึ้นไปบนเรือนได้ร้องบอกว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและขณะนั้นเจ้าหน้าที่ทุกคนแต่งเครื่องแบบแต่จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยสำคัญผิดว่าเป็นคนร้ายและได้ต่อสู้เช่นนี้มาตั้งแต่ชั้นสอบสวน พิเคราะห์การกระทำของเจ้าพนักงานที่ขึ้นไปบนเรือนในขณะที่ยังเป็นเวลากลางคืน จำเลยยังนอนอยู่และทันทีที่รู้ตัวจำเลยก็ลุกขึ้นสู้เช่นนี้ น่าเชื่อว่าจำเลยจะไม่ทันเข้าใจว่าคนเหล่านั้นเป็นเจ้าพนักงาน และการกระทำของจำเลยเท่าที่ได้กระทำไปนั้น (มีดฟัน 1 ที) ก็พอสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68

พิพากษายืน

Share