คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7820/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เมื่อทนายโจทก์ได้รับหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 โดยชอบแล้วและในใบแต่งทนายความโจทก์มอบอำนาจให้ทนายโจทก์ดำเนินการแทนโจทก์ถึงชั้นอุทธรณ์และฎีกา กรณีนี้ย่อมถือได้ว่าโจทก์ทราบนัดโดยชอบแล้ว โจทก์จึงไม่มีเหตุที่จะอ้างว่าไม่ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9
เมื่อปรากฏว่าโจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาวันที่ 10 มกราคม 2551 ซึ่งล่วงเลยกำหนดระยะเวลายื่นฎีกาของโจทก์แล้ว โดยโจทก์ต้องยื่นฎีกาภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ 3 เมษายน 2550 อีกทั้งที่โจทก์อ้างว่าไม่ได้รับหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 และนับแต่ยื่นอุทธรณ์แล้วโจทก์ไม่เคยได้รับการติดต่อจากทนายโจทก์ให้มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยที่โจทก์จะมีสิทธิยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาภายหลังจากสิ้นระยะเวลาฎีกาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาของโจทก์นั้นชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูลให้ประทับฟ้อง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 วันที่ 3 เมษายน 2550 และส่งหมายนัดให้โจทก์และทนายโจทก์ทราบทางไปรษณีย์ โดยส่งหมายนัดให้โจทก์ตามภูมิลำเนาที่ปรากฏอยู่ในคำฟ้อง ทนายโจทก์ได้รับหมายนัดแล้ว ส่วนโจทก์ส่งให้ไม่ได้เพราะไม่มีผู้รับ เมื่อถึงวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 จำเลยมาศาลส่วนโจทก์และทนายโจทก์ไม่มา ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ให้จำเลยฟัง โดยถือว่าโจทก์ทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 โดยชอบแล้วศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน ต่อมาวันที่ 10 มกราคม 2551 โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาอ้างว่า โจทก์ไม่ได้รับหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 และนับแต่ยื่นอุทธรณ์แล้วโจทก์ไม่เคยได้รับการติดต่อจากทนายโจทก์ให้มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 กรณีเป็นเหตุสุดวิสัยที่ทำให้โจทก์ไม่สามารถยื่นฎีกาได้ภายในกำหนด ขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ขยายระยะเวลายื่นฎีกาออกไปอีก 15 วัน ศาลชั้นต้นยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ฎีกาของโจทก์ที่ว่า นับแต่โจทก์ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2546 จนถึงวันที่โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาเป็นเวลาเกือบ 5 ปี โจทก์ไม่ได้รับการติดต่อจากทนายโจทก์ และทนายโจทก์ไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าได้รับหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 พฤติการณ์ของทนายโจทก์ดังกล่าวแสดงว่าไม่ประสงค์จะทำหน้าที่ทนายความให้แก่โจทก์นานแล้ว โจทก์เพิ่งทราบว่าศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลายื่นฎีกาแล้ว ดังนั้น จะถือว่าเป็นความละเลยหรือความบกพร่องของโจทก์หาได้ไม่ กรณีเป็นเหตุสุดวิสัยที่ทำให้โจทก์ไม่สามารถยื่นฎีกาได้ภายในกำหนด ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องของโจทก์ไว้ไต่สวนหรือมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ขยายระยะเวลายื่นฎีกาออกไปอีก 15 วัน นั้น เห็นว่า เมื่อทนายโจทก์ได้รับหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 โดยชอบแล้วและในใบแต่งทนายความโจทก์มอบอำนาจให้ทนายโจทก์ดำเนินการแทนโจทก์ถึงชั้นอุทธรณ์และฎีกา กรณีนี้ย่อมถือได้ว่าโจทก์ทราบนัดโดยชอบแล้ว โจทก์จึงไม่มีเหตุที่จะอ้างว่าไม่ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 เป็นเรื่องที่โจทก์และทนายโจทก์ต้องไปว่ากล่าวกันเอง เมื่อปรากฏว่าโจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวบายื่นฎีกาวันที่ 10 มกราคม 2551 ซึ่งล่วงเลยกำหนดระยะเวลายื่นฎีกาของโจทก์แล้ว โดยโจทก์ต้องยื่นฎีกาภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ 3 เมษายน 2550 อีกทั้งกรณีไม่ใช่เหตุสุดวิสัยที่โจทก์จะมีสิทธิยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาภายหลังจากสิ้นระยะเวลาฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาของโจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share