คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7817/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ให้เป็นทนายความฟ้องคดีต่อศาลโดยจะชำระค่าทนายความให้แก่โจทก์ตามเงื่อนไขประการที่ 2 คือสร้างตึกฟรี แต่ไม่ให้ค่าเสียหายให้ร้อยละ 10 ตามสำเนาเงื่อนไขเอกสารท้ายคำฟ้อง ซึ่งจำนวนร้อยละดังกล่าวเป็นการคำนวณจากทุนทรัพย์ที่พิพาทกันซึ่งเมื่อคำนวณจากทุนทรัพย์แล้วเป็นเงินจำนวน 800,000 บาท จำเลยชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์เพียง 150,000 บาท ยังค้างชำระจำนวน 650,000 บาทขอให้บังคับจำเลยชำระค่าจ้างที่ค้างชำระจำนวน 650,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ รวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ส่วนทุนทรัพย์ที่พิพาทในคดีดังกล่าวเป็นจำนวนเท่าใด และโจทก์คิดคำนวณค่าจ้างว่าความมาถูกต้องหรือไม่ อย่างไร เป็นเพียงรายละเอียดที่สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ และจำเลยเองก็เข้าใจข้อหาโจทก์ดีสามารถต่อสู้คดีโจทก์ได้ถูกต้อง ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์บรรยายฟ้องและมีคำขอให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาศาลแต่ละนัดเป็นเวลา 4 ปีครึ่ง นัดละ 2,500 บาท รวม 54 เดือน คิดเป็นเงินค่าใช้จ่ายรวม 135,000 บาท จำเลยให้การต่อสู้ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเฉพาะที่เรียกค่าจ้างว่าความ มิได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในส่วนที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาศาล คดีจึงไม่มีประเด็นว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาศาลเคลือบคลุมหรือไม่ การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนนี้เคลือบคลุม เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ทั้งมิใช่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาพิพากษา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าจ้างว่าความที่ค้าง 650,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตั้งแต่วันผิดนัดจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 27,480 บาท แก่โจทก์ ให้ชำระค่าใช้จ่ายจำนวน 135,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ หรือให้จำเลยทดแทนการชำระเงินดังกล่าวด้วยการติดตั้งและส่งมอบเครื่องถ่ายเอกสารพร้อมพรินเตอร์แก่โจทก์ ให้ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีในจำนวนเงินค่าจ้างว่าความและค่าใช้จ่ายข้างต้นตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยตกลงว่าจ้างโจทก์ตามสัญญาจ้างว่าความเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 1 จริง โดยกำหนดค่าใช้จ่ายในระหว่างดำเนินคดีจนสิ้นสุดคดีจำนวนเงิน 20,000 บาท เมื่อคดีสิ้นสุดลงแล้วจำเลยได้ผลประโยชน์อย่างไรก็มาดูข้อตกลงการจ้างว่าความระหว่างโจทก์กับจำเลยว่าเข้าข้อใด แล้วจำเลยก็ต้องให้ค่าทนายความที่ตกลงกันไว้ แต่ปรากฏว่าผลประโยชน์ที่จำเลยได้ในคดีดังกล่าวเป็นอาคารพาณิชย์จำนวน 2 ห้อง ราคาห้องละ 3,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 6,000,000 บาท ซึ่งเข้าตามข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลย ข้อที่ 2 คือ เมื่อได้เงินมาแล้วก็ต้องเอาจำนวนเงิน 4,000,000 บาท ลบออกก่อน เหลือสุทธิเท่าใดให้ค่าทนายความโจทก์ร้อยละ 10 ของเงินที่เหลือ จึงทำให้เหลือเงินเพียง 2,000,000 บาท ค่าทนายความร้อยละ 10 ของเงิน 2,000,000 บาท เป็นเงิน 200,000 บาท ซึ่งจำเลยได้ชำระให้แก่โจทก์ไปแล้ว 150,000 บาท ส่วนที่เหลือ 50,000 บาท โจทก์ตกลงให้จำเลยชำระเป็นเครื่องถ่ายเอกสาร 1 เครื่อง พร้อมพรินเตอร์ 1 ชุด เพราะฉะนั้นหนี้ที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์ คือเครื่องถ่ายเอกสารและพรินเตอร์เท่านั้น ไม่ใช่เป็นหนี้ตามฟ้องแต่อย่างใด จำเลยไม่เคยตกลงให้ค่าใช้จ่ายในระหว่างดำเนินคดีนัดละ 2,500 บาท เพราะได้ตกลงกันแล้วว่า จำเลยให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีจำนวน 20,000 บาท จนคดีสิ้นสุดโดยไม่เรียกร้องค่าใช้จ่ายอีก เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 1 เป็นโมฆะ เพราะว่าโจทก์คิดค่าทนายความจากจำเลยโดยการแบ่งทรัพย์สินที่พิพาทกันเมื่อจำเลยได้รับจากคู่กรณี หรือคิดเป็นอัตราส่วนจากทรัพย์สินที่จำเลยได้รับเมื่อคดีสิ้นสุด ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะบรรยายฟ้องเพียงว่าเงินค่าทนายความจำนวน 800,000 บาทไม่ได้บรรยายว่าคิดจากทุนทรัพย์ที่ฟ้องหรือจากจำนวนเงินที่ได้มาอย่างไร เพราะคดีที่จำเลยจ้างโจทก์ให้ฟ้องมีทุนทรัพย์เพียง 7,833,000 บาท เมื่อคดีสิ้นสุดจำเลยได้อาคารพาณิชย์ จำนวน 2 ห้อง ราคาห้องละ 3,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 6,000,000 บาท ไม่ใช่ 8,000,000 บาท ตามที่โจทก์คิดร้อยละ 10 เป็นเงิน 800,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ให้เป็นทนายความฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้นตามคดีหมายเลขแดงที่ 12339/2539 โดยจะชำระค่าทนายความให้แก่โจทก์ตามเงื่อนไขรวม 3 ประการ ซึ่งประการที่ 2 คือสร้างตึกฟรี แต่ไม่ได้ค่าเสียหายให้ร้อยละ 10 รายละเอียดปรากฏตามสำเนาเงื่อนไขเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 1 ซึ่งจำนวนร้อยละดังกล่าวเป็นการคำนวณจากทุนทรัพย์ที่พิพาทกันไม่ใช่เป็นการแบ่งเอาทรัพย์สินที่พิพาทกันมาจ่ายให้แก่โจทก์ ต่อมาคู่ความในคดีดังกล่าวตกลงกันได้ โดยจำเลยในคดีดังกล่าวตกลงโอนที่ดิน 2 แปลง พร้อมอาคารพาณิชย์ให้แก่จำเลยฟรี โดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทนใด ๆ และจำเลยถอนฟ้องให้ คดีดังกล่าวเป็นอันเสร็จเด็ดขาด และจำเลยได้รับผลสมบูรณ์ตามความประสงค์ทุกประการ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างว่าความตามเงื่อนไขประการที่ 2 ซึ่งเมื่อคำนวณจากทุนทรัพย์แล้วเป็นเงินจำนวน 800,000 บาท ต่อมาจำเลยชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์เพียง 150,000 บาท ยังค้างชำระจำนวน 650,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าจ้างที่ค้างชำระจำนวน 650,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนั้น เห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ รวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว แม้จะไม่ได้บรรยายว่า จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในคดีดังกล่าวอันเป็นฐานในการคิดคำนวณค่าจ้างว่าความเป็นเงินจำนวนเท่าใด แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าร้อยละ 10 ของทุนทรัพย์ที่พิพาทในคดีดังกล่าวคิดเป็นเงินค่าจ้างว่าความจำนวน 800,000 บาท ส่วนทุนทรัพย์ที่พิพาทในคดีดังกล่าวเป็นจำนวนเท่าใด และโจทก์คิดคำนวณค่าจ้างว่าความมาถูกต้องหรือไม่ อย่างไร เป็นเพียงรายละเอียดที่สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ และจำเลยเองก็เข้าใจข้อหาโจทก์ดี สามารถต่อสู้คดีโจทก์ได้ถูกต้อง ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

สำหรับคำฟ้องโจทก์ส่วนที่เรียกค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาศาลแต่ละนัดเป็นเวลา 4 ปีครึ่ง นัดละ 2,500 บาท รวม 54 เดือน คิดเป็นเงินค่าใช้จ่ายรวม135,000 บาท นั้น ปรากฏตามคำให้การจำเลยซึ่งให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเฉพาะที่เรียกค่าจ้างว่าความจำนวน 800,000 บาท เท่านั้น ไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าเคลือบคลุมในส่วนที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาศาลแต่อย่างใด คดีจึงไม่มีประเด็นว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาศาลเคลือบคลุมหรือไม่ การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนนี้เคลือบคลุมด้วยเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ทั้งมิใช่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาพิพากษา คดีนี้ยังมีข้อเท็จจริงในประเด็นอื่นที่จะต้องวินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 ประกอบด้วยมาตรา 247

พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share