คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 242/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยร่วมอยู่ในกลุ่ม ม. กับพวกเข้าไปจะทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 กับพวก โดย ม. มีอาวุธปืนเล็งมาทางที่ผู้เสียหายที่ 2 นั่ง จำเลยกวักมือเรียกกลุ่มผู้เสียหายที่ 2กับเข้าแย่งปืนจาก ม. และพูดว่า กูยิงเอง และเมื่อเสียงปืนดังขึ้น จำเลย ม. กับพวกก็วิ่งหลบหนีไปพร้อมกันแม้จะได้ความว่าจำเลยไม่ได้เป็นคนยิง พฤติการณ์เช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับ ม. ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายกับพวกผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นตัวการ ร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายและพยายามฆ่าพวกผู้เสียหาย และยัง ปรากฏว่าเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้หลังเกิดเหตุ 1 ปีเศษ แสดงว่าจำเลยหลบหนีเป็นพิรุธ การนำสืบอ้างฐานที่อยู่ ลอย ๆ ของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอไม่อาจ หักล้างพยานโจทก์ได้ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 มิใช่บทมาตราที่บัญญัติว่า การกระทำอย่างใดเป็นความผิดทางอาญา หากแต่เป็นบทมาตรา ที่ใช้แก่ความผิดทั่ว ๆ ไป กรณีที่การกระทำร่วมกัน ของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปเกิดขึ้น ศาลจะต้องวางโทษ แก่บุคคลเหล่านั้นอย่างไร ดังนั้น แม้โจทก์มิได้อ้างมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มาในฟ้อง ศาลก็ลงโทษจำเลยได้ หาใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 90, 288
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 กับมาตรา 288, 80 กรณีเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกตลอดชีวิต
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง คนร้ายได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่กลุ่มผู้เสียหายขณะอยู่ในงานศพ 1 นัดกระสุนปืนถูกผู้เสียหายทั้งห้าเป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1ถึงแก่ความตายและผู้เสียหายที่ 2 ถึงที่ 5 ได้รับอันตรายแก่กายตามรายงานการชันสูตรพลิกศพและผลการตรวจชันสูตรบาดแผลหรือศพของแพทย์ท้ายฟ้อง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยได้ร่วมกับพวกกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่โจทก์มีนายสยามผู้เสียหายที่ 2 มาเบิกความต่อศาลได้ความว่าในคืนเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 2 นายคงคา นายนง นายกอน นายเหมียน นายสมศักดิ์กับเพื่อนอีกประมาณ 10 คน ไปที่งานศพของนางเวิน ทองออน ในหมู่บ้าน เมื่อไปถึงได้นั่งกินอาหารและดื่มสุราที่บ้านงานศพซึ่งมีการแสดงหมอลำซิ่ง ด้วย ก่อนเกิดเหตุมีคนขว้างขวดไปที่เวทีหมอลำ นายเหมียนเพื่อนของผู้เสียหายที่ 2พูดว่านายทองดี มะลิ เป็นคนขว้างขวด เมื่อผู้เสียหายที่ 2 กับพวกเดินไปดู เห็นนายทองดีกับพวกเดินสวนออกมาแต่สอบถามแล้วนายทองดีปฏิเสธนายนงเพื่อนของผู้เสียหายที่ 2 ได้ต่อว่านายทองดีจนเกิดทะเลาะกัน นายนงเตะนายทองดีแต่นายทองดีไม่สู้และพูดอาฆาตไว้ หลังจากนั้นเวลาประมาณเที่ยงคืนนายทองดี นายมืด นายทองและจำเลยกับพวกเข้ามาที่บ้านงานศพจะทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 กับพวกแต่มีคนห้ามไว้ ต่อมาเวลาประมาณ1 ถึง 2 นาฬิกา นายมืด นายทอง กับจำเลยเดินมาที่บ้านงานศพอีกขณะนั้นผู้เสียหายที่ 2 กับพวกนั่งอยู่ที่แคร่หน้าบ้านงานศพ จำเลยกับพวกเดินมาห่างจากที่ผู้เสียหายที่ 2 กับพวกนั่งอยู่ประมาณ 10 เมตร แล้วนายมืดยกอาวุธปืนขึ้นเล็งมาที่ผู้เสียหายที่ 2 กับพวก โดยจำเลยกวักมือเรียกผู้เสียหายที่ 2 กับพวก จำเลยเข้าไปแย่งอาวุธปืนจากนายมืดและพูดว่ากูยิงเอง แล้วนายมืด นายทองกับจำเลยถอยหลังไปประมาณ 7 ถึง 8 ก้าว ถึงตอนนี้ผู้เสียหายที่ 1 ได้เข้าไปคุยกับกลุ่มของนายมืด นายทอง กับจำเลยซึ่งเดินถอยหลังไปอีกประมาณ 3 ถึง 4 ก้าวแล้วมีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด กระสุนปืนถูกผู้เสียหายทั้งห้า ซึ่งอยู่ในบริเวณงานศพ และเห็นนายมืด นายทองกับจำเลยวิ่งหนีไปพร้อมกัน และยังได้ความจากนายสมัย กงนะ พยานโจทก์อีกปากหนึ่งว่า ในคืนเกิดเหตุก่อนเกิดเหตุเห็นวัยรุ่น 2 กลุ่ม คือกลุ่มนายมืด นายทอง นายต้อและจำเลยกับกลุ่มของผู้เสียหายที่ 1 เดินเข้าหากัน โดยเห็นผู้เสียหายที่ 1 เดินเข้าไปจะห้ามกลุ่มนายมืดเมื่อกลุ่มของผู้เสียหายที่ 1 ใกล้กลุ่มของนายมืดพยานเห็นนายมืดชักอาวุธปืนลูกซองสั้นยิงเข้าไปในกลุ่มของผู้เสียหายที่ 1 แล้วกลุ่มของนายมืดซึ่งมีนายมืด นายทอง นายต้อ กับจำเลยได้วิ่งหนีไป เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองปากข้างต้นรู้จักจำเลยกับพวกมาก่อน โดยผู้เสียหายที่ 2 กับพวกเคยมีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลยกับพวกมาก่อนเกิดเหตุส่วนนายสมัยเป็นเพื่อนจำเลย และในคืนเกิดเหตุนายนง เพื่อนของผู้เสียหายที่ 2 ก็มีเรื่องทะเลาะกับนายทองดี พวกของจำเลยก่อนเกิดเหตุ ทั้งบริเวณงานมีหลอดไฟฟ้าเปิดสว่างที่บ้านงานศพและที่เวทีหมอลำ สามารถมองเห็นกันได้พยานโจทก์ทั้งสองเบิกความตรงกันว่าเห็นนายมืดซึ่งมากับจำเลยมีอาวุธปืน โดยผู้เสียหายที่ 2 เห็นนายมืดเล็งอาวุธปืนมาทางตนกับพวกโดยเห็นจำเลยเข้าไปแย่งปืนและพูดว่า กูยิงเองและเห็นผู้เสียหายที่ 1 เข้าไปคุยกับกลุ่มของนายมืดแล้วมีเสียงปืนดังขึ้น ส่วนนายสมัย เห็นนายมืดชักอาวุธปืนยิงไปที่กลุ่มของผู้เสียหายที่ 1 สอดคล้องกัน หลังเสียงปืนดังพยานโจทก์ก็เห็นจำเลยวิ่งหนีไปพร้อมกับนายมืดและนายทองตรงกัน นอกจากนี้โจทก์ยังมีพันตำรวจโทเกษม ต่างศรีพนักงานสอบสวนมาเบิกความอีกว่าจับจำเลยได้ตามหมายจับเอกสารหมาย จ.14 ซึ่งมีการออกหมายจับไว้หลังเกิดเหตุประมาณ 13 วัน ระบุให้จับกุมนายสุขีหรือมืด รูปคม นายสังทองหรือทองก่อนเกิด และจำเลย กล่าวหาว่าร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 1 ถึงแก่ความตาย พยานโจทก์จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยร่วมอยู่ในกลุ่มนายมืด นายทอง กับพวกเข้าไปจะทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 กับพวก โดยนายมืดมีอาวุธปืนเล็งมาทางที่ผู้เสียหายที่ 2 นั่ง โดยจำเลยกวักมือเรียกกลุ่มผู้เสียหายที่ 2 กับเข้าแย่งปืนจากนายมืดและพูดว่ากูยิงเอง และเมื่อเสียงปืนดังขึ้นจำเลย นายมืดกับนายทองก็วิ่งหลบหนีไปพร้อมกัน แม้จะได้ความว่าจำเลยไม่ได้เป็นคนยิงพฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกันกับนายมืดใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายกับพวกผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายและพยายามฆ่าพวกผู้เสียหายตามฟ้อง พยานจำเลยนำสืบอ้างฐานที่อยู่ลอย ๆ จึงมีน้ำหนักน้อยและปรากฏว่าเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้หลังเกิดเหตุ 1 ปีเศษแสดงว่าจำเลยหลบหนีเป็นพิรุธ พยานจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่าโจทก์มิได้มีคำขอให้ลงโทษจำเลยฐานเป็นตัวการร่วมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลย จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอนั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องแล้วว่าจำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งห้าโดยมีเจตนาฆ่าเพียงแต่การที่โจทก์ไม่ได้อ้างบทมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มาในฟ้องด้วยนั้น หาทำให้ฟ้องโจทก์บกพร่องจนศาลไม่อาจจะลงโทษจำเลยได้ไม่ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 มิใช่บทมาตราที่บัญญัติว่าการกระทำอย่างใดเป็นความผิดทางอาญา หากแต่เป็นบทมาตราที่ใช้แก่ความผิดทั่ว ๆ ไป กรณีที่การกระทำร่วมกันของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปเกิดขึ้น ศาลจะต้องวางโทษแก่บุคคลเหล่านั้นอย่างไร ดังนั้นแม้โจทก์มิได้อ้างมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาในฟ้อง ศาลก็ลงโทษจำเลยได้หาใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน”
พิพากษายืน

Share