คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 780/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ก. กู้ยืมเงินโจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินเมื่อวันที่ 8 มีนาคม2521 กำหนดชำระภายในวันที่ 8 มีนาคม 2522 ต่อมาวันที่ 15พฤษภาคม 2521 ก.ชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วน หลังจากนั้น ก.เบิกเงินและเอาสิ่งของแล้วตีราคาเป็นเงินไปจากโจทก์ ซึ่งโจทก์ลงรายการรวมไว้ในบัญชีที่ ก. ค้างชำระอยู่ เมื่อ ก.นำมันสำปะหลังไปขายแก่โจทก์โจทก์ก็ตีราคามันสำปะหลังหักทอนบัญชีอันเกิดแก่กิจการระหว่างโจทก์และ ก. โดยวิธีหักกลบลบกันจากยอดหนี้ที่รวมไว้ทั้งหมด พฤติการณ์ที่ ก.และโจทก์ปฏิบัติต่อกันโดยจัดให้มีบัญชีหนี้ ซึ่งมีการหักทอนบัญชีเป็นคราว ๆเข้าลักษณะสัญญาบัญชีเดินสะพัด มิใช่เรื่องการกู้ยืม เมื่อก. เริ่มเบิกเงินและเอาสิ่งของไปจากโจทก์ตั้งแต่หลังวันที่15 พฤษภาคม 2521 จนถึงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2523 ซึ่งเป็นเวลาล่วงเลยกำหนดชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน จึงเป็นการที่คู่กรณีตกลงยกเลิกกำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินไปโดยปริยายโจทก์สามารถเรียกให้ ก. ชำระหนี้เมื่อใดก็ได้หลังจากที่ได้ก่อหนี้กันครั้งสุดท้ายคือวันที่ 18 พฤศจิกายน 2523 ซึ่งต่อมาวันที่ 19 มกราคม 2524 ก. นำมันสำปะหลังมาขายตีใช้หนี้เพื่อหักทอนบัญชีให้แก่โจทก์อันเป็นการชำระหนี้บางส่วน อายุความจึงสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14(1)และเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม 2524 หนี้รายนี้เป็นบัญชีเดินสะพัดจึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2531 ยังไม่เกิน 10 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายกิมเซียงหรือตุ๊ แสงจันทร์ เป็นสามีของจำเลยที่ 1 และเป็นบิดาของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เมื่อวันที่ 30พฤศจิกายน 2530 นายกิมเซียงถึงแก่ความตาย จำเลยทั้งห้าเป็นทายาทเป็นผู้มีสิทธิรับมรดกของนายกิมเซียง นายกิมเซียงได้ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 200,000 บาท หลังจากกู้ยืมเงินดังกล่าวไปแล้ว นายกิมเซียงได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์บางส่วนหลังจากนั้นนายกิมเซียงได้ยืมเงินจากโจทก์เป็นเงินสดบ้างและสิ่งของแต่คิดเป็นเงินบ้างหลายครั้ง และนายกิมเซียงนำมันสำปะหลังไปขายให้แก่โจทก์และโจทก์หักหนี้รวม 5 ครั้ง คงค้างชำระหนี้โจทก์จำนวน 276,920 บาท คิดดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเพียง5 ปี เป็นดอกเบี้ย 207,690 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 484,610 บาทขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระหนี้จำนวนดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งห้าให้การว่า จำเลยทั้งห้าไม่เคยทราบเรื่องการทำสัญญากู้ยืมเงินตามเอกสารท้ายฟ้อง สัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวขาดอายุความ เพราะโจทก์ไม่ได้ฟ้องร้องบังคับภายใน 10 ปี และสำหรับเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 และ 3 จำเลยทั้งห้าไม่เคยทราบเรื่องแต่อย่างใด และเอกสารดังกล่าวมิได้ระบุว่านายกิมเซียงได้รับเงินที่ไหน เมื่อใด เป็นค่าอะไร ไม่อาจทราบความหมายได้ว่าเป็นเงินค่าอะไรมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง อันเป็นรายละเอียดที่จะต้องกล่าวอย่างชัดแจ้งในคำฟ้องเมื่อโจทก์มิได้บรรยายถึงรายละเอียดต่าง ๆ ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม นอกจากนี้โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งห้าในอัตราร้อยละ 15ต่อปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งห้าในฐานะทายาทผู้รับมรดกของนายกิมเซียงหรือตุ๊ แสงจันทร์ ร่วมกันชำระเงินจำนวน 276,920 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงินจำนวนดังกล่าว คำนวณตั้งแต่วันฟ้องย้อนหลัง 5 ปี กับให้ดอกเบี้ยในอัตราและเงินต้นจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน2530 อันเป็นวันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเงินให้แก่โจทก์เสร็จ
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งห้าในฐานะทายาทผู้รับมรดกของนายกิมเซียงหรือตุ๊ แสงจันทร์ ร่วมกันชำระเงินจำนวน 276,920 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ประเด็นข้อแรกที่ต้องวินิจฉัยมีว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องเรียกหนี้เงินกู้จากทายาทของนายกิมเซียงหรือตุ๊ แสงจันทร์ โดยโจทก์บรรยายฟ้องว่า ก่อนตายนายกิมเซียงกู้เงินโจทก์ไป 200,000 บาทโจทก์ได้แนบสำเนาหนังสือสัญญากู้ยืมเงินมาท้ายฟ้องด้วยต่อมานายกิมเซียงได้ชำระหนี้บางส่วน หลังจากนั้นนายกิมเซียงได้กู้ยืมเงินและเอาสิ่งของแล้วตีราคาเป็นเงินหลายครั้ง รวมเป็นเงินยืมที่นายกิมเซียงค้างชำระทั้งสิ้น 303,234 บาท ภายหลังต่อมานายกิมเซียงได้นำมันสำปะหลังมาขายตีใช้หนี้แก่โจทก์ในที่สุดนายกิมเซียงคงเป็นหนี้โจทก์อยู่ 276,920 บาท โจทก์ได้แนบรายละเอียดเงินยืมและรายการสิ่งของที่นายกิมเซียงเอาไปแล้วตีราคาเป็นเงินมาท้ายคำฟ้องด้วย คำฟ้องดังกล่าวจึงมีรายละเอียดเพียงพอที่จะทำให้จำเลยทั้งห้าเข้าใจและต่อสู้คดีได้ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ประเด็นข้อที่สองเห็นควรวินิจฉัยว่า นายกิมเซียงจะต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์และคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่านายกิมเซียงกู้ยืมเงินโจทก์ไปตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2521 กำหนดจะชำระเงินคืนภายในวันที่ 8 มีนาคม 2522 ต่อมาวันที่ 15 พฤษภาคม 2521ซึ่งเป็นวันก่อนครบกำหนดนายกิมเซียงชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วนแล้วยังคงค้างชำระอยู่อีก 174,067 บาท ปรากฏตามบัญชีหนี้เอกสารหมาย จ.11 แผ่นที่ 1 หลังจากนั้นนายกิมเซียงได้เบิกเงินและเอาสิ่งของแล้วตีราคาเป็นเงินไปจากโจทก์หลายครั้ง ซึ่งโจทก์ได้ลงรายการรวมไว้ในบัญชีหนี้ที่นายกิมเซียงค้างชำระอยู่แล้วให้นายกิมเซียงลงลายมือชื่อไว้ เมื่อนายกิมเซียงนำมันสำปะหลังไปขายให้แก่โจทก์ โจทก์ก็ตีราคามันสำปะหลังหักทอนบัญชีอันเกิดแต่กิจการระหว่างโจทก์และนายกิมเซียงซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างมีหนี้สินที่จะต้องปฏิบัติต่อกัน กล่าวคือ โจทก์ในฐานะผู้ซื้อมีหน้าที่จะต้องชำระราคาแก่นายกิมเซียงโดยวิธีหักกลบลบกันจากยอดหนี้ที่รวมไว้ทั้งหมด พฤติการณ์ที่นายกิมเซียงและโจทก์ปฏิบัติต่อกันโดยจัดให้มีบัญชีหนี้ ตามเอกสารหมาย จ.11 จ.10 จ.9 และ จ.12ซึ่งมีการหักทอนบัญชีเป็นคราว ๆ ไป เข้าลักษณะสัญญาบัญชีเดินสะพัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 856 หาใช่เรื่องการกู้ยืมเงินไม่ เมื่อปรากฎว่านายกิมเซียงยังเป็นลูกหนี้โจทก์อยู่จำเลยทั้งห้าก็ต้องร่วมรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ปรากฏว่า นายกิมเซียงเริ่มเบิกเงินและเอาสิ่งของไปจากโจทก์ตั้งแต่หลังวันที่ 15 พฤษภาคม 2521จนถึงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2523 ซึ่งเป็นเวลาล่วงเลยกำหนดชำระหนี้ตามเอกสารหมาย จ.1 แล้ว ดังนั้นจึงเห็นได้ว่ากำหนดเวลาชำระหนี้ตามเอกสารหมาย จ.1 คู่กรณีตกลงยกเลิกไปโดยปริยายโจทก์สามารถเรียกให้นายกิมเซียงชำระหนี้เมื่อใดก็ได้หลังจากที่ได้ก่อหนี้กันครั้งสุดท้ายคือวันที่ 18 พฤศจิกายน 2523 ซึ่งปรากฏต่อมาเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2524 นายกิมเซียงได้นำมันสำปะหลังมาขายตีใช้หนี้เพื่อหักทอนบัญชีให้แก่โจทก์ เมื่อนำราคามันสำปะหลังไปหักกลบลบหนี้แล้วคงมียอดหนี้ค้างอยู่อีก 276,920 บาท ปรากฏตามบัญชีหนี้เอกสารหมาย จ.12 และเมื่อมีการชำระหนี้กันบางส่วนเช่นนี้อายุความจึงสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172เดิม หรือ มาตรา 193/14(1) ที่แก้ไขใหม่ และเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม 2524 เป็นต้นไป หนี้รายนี้เป็นบัญชีเดินสะพัด ซึ่งมีอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164 เดิม หรือมาตรา 193/30 ที่แก้ไขใหม่ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2531 ยังไม่เกิน 10 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ประเด็นข้อสุดท้ายมีว่า นายกิมเซียงจะต้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์เพียงใดนั้นเห็นว่า ครั้งแรกนายกิมเซียงกู้ยืมเงินโจทก์ไป200,000 บาท ต่อมาวันที่ 15 พฤษภาคม 2521 นายกิมเซียงได้ชำระหนี้ไปบางส่วน ยังคงค้างอยู่ 174,067 บาท หลังจากนั้นได้เบิกเงินและเอาสิ่งของแล้วตีราคารวมเป็นหนี้เงินกู้ยืมครั้งสุดท้ายปรากฏว่านายกิมเซียงเป็นหนี้โจทก์ 303,234 บาทเมื่อนำเงินค่ามันสำปะหลังที่นายกิมเซียงขายให้โจทก์จำนวน 26,314บาท มาหักทอนบัญชีแล้ว นายกิมเซียงเป็นหนี้โจทก์อยู่ 26,920 บาทที่จำเลยทั้งห้าต่อสู้ว่านายกิมเซียงควรจะรับผิดในหนี้เฉพาะรายการที่นายกิมเซียงลงลายมือชื่อไว้เท่านั้น เห็นว่า รายการเบิกเงินและสิ่งของตามบัญชีหนี้เอกสารหมาย จ.11 จ.10 จ.9 และจ.12 นายกิมเซียงได้ลงลายมือชื่อไว้เกือบทุกรายการ สำหรับรายการที่นายกิมเซียงไม่ได้ลงลายมือชื่อไว้ แต่เมื่อมีการเบิกเงินและเอาสิ่งของคราวถัดไปแล้วนำมาลงบัญชีต่อจากรายการดังกล่าว นายกิมเซียงก็ลงลายมือชื่อรับรองยอดหนี้ตามบัญชีไว้โดยมิได้โต้แย้ง จึงถือได้ว่านายกิมเซียงยอมรับว่าตนเป็นหนี้โจทก์ตามรายการที่ปรากฏอยู่ในบัญชีหนี้เอกสารหมาย จ.11 จ.10จ.9 และ จ.12 ซึ่งมียอดหนี้ค้างชำระครั้งสุดท้ายจำนวน 276,920 บาทข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งห้าฟังไม่ขึ้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share