คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 619/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ตามสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท ผู้คัดค้านได้สละการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องตั้งแต่วันทำสัญญา แต่ที่ดินพิพาทมีข้อบังคับห้ามโอนภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ผู้คัดค้านได้รับโฉนดตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 31 บทบัญญัติดังกล่าวมีเจตนาจะปกป้องราษฎรให้มีที่ทำกินเป็นเวลาอย่างน้อย 10 ปี และภายในระยะเวลาดังกล่าวทางราชการได้ควบคุมที่ดินนั้นอยู่ยังไม่ปล่อยให้เป็นสิทธิเด็ดขาดแก่ผู้ครอบครองจนกว่าจะพ้นระยะเวลาห้ามโอนผู้คัดค้านจึงไม่อาจสละหรือโอนการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องได้ ผู้ร้องจะเอาระยะเวลาการครอบครองซึ่งอยู่ภายในข้อบังคับห้ามโอนกรรมสิทธิ์มารวมคำนวณเป็นระยะเวลาครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 หาได้ไม่

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอและแก้ไขคำร้องขอว่า เมื่อปี 2521 ผู้ร้องซื้อที่ดินมีโฉนด จากนายใบ โชคชัย โดยมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย แต่นายใบมอบที่ดินให้ผู้ร้องครอบครองและผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวมาโดยสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเกินกว่า 10 ปี ขอให้มีคำสั่งแสดงว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทผู้คัดค้านไม่เคยขายที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องแต่อย่างใดผู้คัดค้านได้กู้ยืมเงินจากผู้ร้อง และยอมให้ผู้ร้องทำกินในที่ดินพิพาทต่างดอกเบี้ยเท่านั้น การกู้ยืมเงินดังกล่าวไม่มีกำหนดชำระคืนสัญญาซื้อขายท้ายคำร้องทำขึ้นโดยแสดงเจตนาลวงจึงตกเป็นโมฆะขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกคำร้องขอ
ผู้ร้องฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นได้รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 801 ตำบลพุเตยอำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ เนื้อที่ 17 ไร่ 1 งาน 33 7/10ตารางวา พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ออกให้แก่ผู้คัดค้านเมื่อวันที่6 พฤษภาคม 2519 และได้ระบุไว้ในโฉนดที่ดินว่า ที่ดินแปลงนี้ตกอยู่ในข้อบังคับห้ามโอนสิบปี ตามมาตรา 31 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 และประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 334 ข้อ 6 เว้นแต่จะตกทอดโดยทางมรดกปัญหาวินิจฉัยมีว่า ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทถึงกำหนด 10 ปี ตามคำร้องขอหรือไม่ ผู้ร้องนำสืบว่า ได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิตามหนังสือสัญญาซื้อขายซึ่งผู้คัดค้านได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องตามเอกสารหมาย ร.2 นับถึง พ.ศ. 2534เป็นเวลา 13 ปีแล้ว เห็นว่า แม้จะฟังข้อเท็จจริงตามหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านลงวันที่ 2 พฤษภาคม2521 ว่า ผู้คัดค้านได้สละการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องตั้งแต่วันทำหนังสือสัญญาซื้อขาย แต่ที่ดินพิพาทมีข้อบังคับห้ามโอนภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ผู้คัดค้านได้รับโฉนดที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 31 แสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ทางราชการจัดให้ราษฎรทำกิน บทบัญญัติดังกล่าวมีเจตนาจะปกป้องราษฎรให้มีที่ทำกินเป็นเวลาอย่างน้อย 10 ปี และภายในระยะเวลาดังกล่าวทางราชการได้ควบคุมที่ดินนั้นอยู่ ยังไม่ปล่อยให้เป็นสิทธิเด็ดขาดแก่ผู้ครอบครองจนกว่าจะพ้นระยะเวลาที่มีข้อบังคับห้ามโอนซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 6 พฤษภาคม 2529 ดังนั้นผู้คัดค้านจึงไม่อาจสละหรือโอนการครอบครองที่ดินตามหนังสือสัญญาซื้อขายให้แก่ผู้ร้องได้ ผู้ร้องจะเอาระยะเวลาการครอบครองซึ่งอยู่ภายในข้อบังคับ ห้ามโอนกรรมสิทธิ์มารวมคำนวณเป็นระยะเวลาครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 หาได้ไม่หากจะฟังว่าผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทหลังจากครบกำหนดห้ามโอนตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2529 ถึงวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอ คือวันที่ 5 สิงหาคม 2534 ก็ยังไม่ถึง 10 ปีผู้ร้องจึงไม่มีทางที่จะได้ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามคำร้องขอได้ ปัญหาอื่นตามฎีกาผู้ร้องจึงไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share