คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 550/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

รถยนต์ตามสัญญาเช่าซื้อเป็นรถยนต์เก๋งส่วนบุคคล มิใช่รถยนต์รับจ้างทั่วไป โจทก์ไม่อาจนำรถยนต์ออกไปทำธุรกิจให้บุคคลทั่ว ๆ ไปเช่าเป็นรายเดือนได้ทุกเดือน ค่าเสียหายหรือค่าขาดประโยชน์จากการใช้ทรัพย์เป็นรายเดือนที่ผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดนี้ ตามปกติย่อมคิดเทียบได้กับดอกเบี้ยซึ่งผู้ให้เช่าซื้อคิดรวมกันไว้ล่วงหน้าตามจำนวนปี หรืองวดที่ผ่อนชำระจากราคารถยนต์ที่แท้จริง
ภายหลังที่ผู้ใช้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาแก่ผู้เช่าซื้อแล้ว ผู้เช่าซื้อมีหน้าที่ต้องคืนทรัพย์สินที่เช่าซื้อ เมื่อผู้เช่าซื้อ ยังครอบครองใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินอยู่ ผู้เช่าซื้อจึงต้องรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ผู้ให้เช่าซื้อจนกว่าผู้เช่าซื้อจะส่งมอบรถยนต์คืนผู้ให้เช่าซื้อหรือชดใช้ราคา ค่าเสียหายส่วนนี้ศาลควรกำหนดระยะเวลาที่จำเลยต้องรับผิดไว้ด้วย เพราะรถยนต์ที่เช่าซื้อย่อมต้องเสื่อมสภาพไปตามปกติของการใช้
โจทก์เรียกเก็บค่าภาษีมูลค่าเพิ่มจากค่าเสียหายซึ่งประกอบด้วยราคารถยนต์ตามสัญญาเช่าซื้อและ ค่าขาดประโยชน์ แต่เมื่อเลิกสัญญาเช่าซื้อกันแล้วจำนวนเงินที่ศาลกำหนดให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกสัญญา หาใช่เป็นการชำระค่าเช่าซื้อที่ถึงกำหนดชำระแต่ละงวดอันจะก่อให้เกิดความรับผิดในการเสียค่าภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าภาษีมูลค่าเพิ่มตามที่โจทก์ขอ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก – ๕๗๗๗ พิษณุโลก และหมายเลขทะเบียน ก – ๖๕๕๕ พิษณุโลก คืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ขอให้ชดใช้เงินจำนวน ๔๕๐,๐๐๐ บาท และ ๑,๗๐๐,๐๐๐ บาท แทนการส่งมอบ รถยนต์ที่เช่าซื้อคืนตามลำดับ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์เป็นเงิน ๑,๑๔๕,๑๙๙ บาท และภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงิน ๒๓๐,๖๖๓.๙๙ บาท กับค่าขาดประโยชน์เป็นรายเดือนอัตราเดือนละ ๓๒,๐๐๐ บาท พร้อมค่า ภาษีมูลค่าเพิ่มอัตราร้อยละ ๗ ของค่าขาดประโยชน์ นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาแทนจนครบแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะจำเลยที่ ๑ไม่เคยทำสัญญาเช่าซื้อตามฟ้องกับโจทก์ โจทก์เรียกค่าเสียหายสูงกว่าที่โจทก์เสียหายจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก – ๕๗๗๗ พิษณุโลก และ ก – ๖๕๕๕ พิษณุโลก แก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ร่วมกันใช้ราคาแทนเป็นเงิน ๒๙๐,๐๐๐ บาท และ ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท ตามลำดับ กับให้ชำระค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน ๗๐๐,๐๐๐ บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา … ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์สองคัน โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามหนังสือค้ำประกันเอกสารหมาย จ.๔ และ จ.๖ โดยเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๓๕ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์รุ่น ๑๙๐ อี หมายเลขทะเบียน ก – ๕๗๗๗ พิษณุโลก ไปจากโจทก์ในราคา ๘๓๐,๘๔๔ บาท ตกลงผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเป็นงวดรายเดือน เดือนละ ๒๓,๐๗๙ บาท รวม ๓๖ งวด เริ่มชำระงวดแรกภายในวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๓๕ และชำระงวดต่อไปในวันที่ ๒๕ ของทุกเดือนจนกว่าจะครบ จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ ๑๖ งวด ในงวดที่ ๑๖ วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๓๖ ชำระให้เพียง ๑๖,๐๖๑.๘๒ บาท รวมเป็นเงิน ๓๖๒,๒๔๖.๘๒ บาท จากนั้นจำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ ยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่น ๓๐๐ จีทีโอ หมายเลขทะเบียน ก – ๖๕๕๕ พิษณุโลก ในราคา ๒,๒๕๔,๒๐๕ บาท ตกลงผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเป็นงวดรายเดือน เดือนละ ๔๖,๙๖๒.๖๒ บาท รวม ๔๘ งวด เริ่มชำระงวดแรกวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๓๖ และชำระงวดต่อไปทุกวันที่ ๕ ของทุกเดือนถัดไปจนกว่าจะครบ จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ ๔ งวด ในงวดที่ ๔ วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๓๖ ชำระเพียง ๔๓,๖๗๕.๒๔ บาท รวมเงินที่ชำระแล้ว ๑๘๔,๕๖๓.๑๐ บาท จากนั้นจำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว แต่จำเลยที่ ๑ ไม่ยอมส่งรถยนต์ที่เช่าซื้อทั้งสองคันคืนให้โจทก์
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า …
โจทก์ฎีกาข้อที่สองว่า ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์นับแต่วันที่จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าซื้องวดหลังสุดจนถึงวันฟ้องตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์เอกสารหมาย จ.๓ และ จ.๕ ศาลอุทธรณ์กำหนดให้รวม ๗๐๐,๐๐๐ บาท ต่ำเกินไปนั้น เห็นว่า รถยนต์ทั้งสองคันตามสัญญาเช่าซื้อเป็นรถยนต์เก๋งส่วนบุคคล มิใช่รถยนต์รับจ้างทั่วไป โจทก์ไม่อาจนำรถยนต์ทั้งสองคันออกไปทำธุรกิจให้บุคคลทั่ว ๆ ไปเช่าเป็นรายเดือนได้ทุกเดือนและได้ค่าเช่าดังที่โจทก์ฎีกา ซึ่งค่าเสียหายหรือค่าขาดประโยชน์จากการใช้ทรัพย์เป็นรายเดือนที่ผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดนี้ ตามปกติย่อมคิดเทียบได้กับดอกเบี้ยซึ่ง ผู้ให้เช่าซื้อคิดรวมกันไว้ล่งงหน้าตามจำนวนปีหรืองวดที่ผ่อนชำระจากราคารถยนต์สองคันที่แท้จริง เพราะเงินส่วนนี้ ก็คิดส่วนที่ทำให้ผู้ให้เช่าซื้อขายขาดประโยชน์ในแต่ละเดือนนั่นเอง เมื่อคำนวณจากราคารถยนต์ทั้งสองคันที่แท้จริงและอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ทั้งสองฉบับแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์จากการใช้ทรัพย์ให้แก่โจทก์รวม ๗๐๐,๐๐๐ บาท จึงเหมาะสมแล้ว
โจทก์ฎีกาข้อที่สามขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าขาดประโยชน์ให้แก่โจทก์ในอัตราเดือนละ ๓๒,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ ๑ จะส่งมอบรถยนต์สองคันคืนโจทก์หรือชดใช้ราคาด้วยนั้น เห็นว่า ภายหลังที่ผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแก่ผู้ซื้อแล้ว ผู้เช่าซื้อมีหน้าที่ต้องคืนทรัพย์ที่เช่าซื้อให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อ เมื่อผู้เช่าซื้อยังครอบครองใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินอยู่ ผู้เช่าซื้อจึงต้องรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ผู้ให้เช่าซื้อ กรณีนี้จำเลยที่ ๑ ไม่ส่งมอบรถยนต์ทั้งสองคันที่เช่าซื้อคืนโจทก์ภายหลังเมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้ว ความเสียหายจึงเกิดขึ้นแก่โจทก์ตลอดเวลาจนกว่าจำเลยที่ ๑ จะส่งมอบรถยนต์ทั้งสองคันคืนโจทก์หรือชดใช้ราคา ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ไม่กำหนดค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์ให้แก่โจทก์นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ ๑ จะส่งมอบรถยนต์ทั้งสองคันคืนโจทก์หรือชดใช้ราคาตามที่โจทก์ขอ จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา โดยค่าเสียหายส่วนนี้ศาลฎีกาเห็นควรกำหนดระยะเวลาที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดไว้ด้วย เพราะรถยนต์สองคันที่เช่าซื้อย่อมต้องเสื่อมสภาพไปตามปกติของการใช้ ทั้งโจทก์เองก็ควรรีบเร่งในการบังคับคดี มิใช่มุ่งแต่จะบังคับเอาค่าเสียหายแก่จำเลยทั้งสองแต่ฝ่ายเดียวโดยไม่มีเวลาสิ้นสุด จึงกำหนดให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าขาดประโยชน์ให้โจทก์เดือนละ ๒๑,๘๗๕ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ ๑ จะส่งมอบรถยนต์ทั้งสองคันคืนโจทก์หรือชดใช้ราคา แต่ค่าเสียหายดังกล่าวกำหนดให้ไม่เกิน ๖ เดือน
โจทก์ฎีกาข้อสุดท้ายขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ ๗ ของค่าเสียหายคิดเป็นเงิน ๒๓๐,๖๖๓.๙๐ บาท นั้น เห็นว่า ภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวของโจทก์ขอเรียกเก็บเงินเอาจากค่าเสียหายซึ่งประกอบด้วยราคารถยนต์ทั้งสองคันตามสัญญาเช่าซื้อ และค่าขาดประโยชน์ โดยเมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว คู่สัญญาจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม โดยจำเลยที่ ๑ ผู้เช่าซื้อมีหน้าที่จะต้องคืนรถยนต์ทั้งสองคันเพื่อให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อกลับคืนสู่ฐานะเดิม หากคืนไม่ได้ก็ให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่ารถยนต์ดังกล่าว อีกทั้งจำเลยที่ ๑ จะต้องชดใช้เงินเป็น ค่าเสียหายแก่โจทก์ในการใช้รถยนต์ทั้งสองคันของโจทก์ในระหว่างที่ตนยังไม่ส่งมอบรถยนต์คืน ด้วยซึ่งจำนวนเงิน ที่กำหนดให้จำเลยที่ ๑ รับผิดชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวแก่โจทก์หาใช่เป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๑ ต้องชำระราคาค่าเช่าซื้อตามงวดที่ถึงกำหนดชำระราคาแต่ละงวด อันจะก่อให้เกิดความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ เพราะค่าเสียหายดังกล่าวกำหนดให้เพื่อชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ภายหลังที่สัญญาเช่าซื้อรถยนต์เลิกกันแล้ว จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้อง รับผิดชดใช้ภาษีมูลค่าเพิ่มแก่โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อทั้งสองคันคืนโจทก์ไม่ได้ ให้ร่วมกันใช้ราคาแทนเป็นเงิน ๓๒๐,๐๐๐ บาท และ ๑,๔๐๐,๐๐๐ บาท ตามลำดับ และให้จำเลยทังสองร่วมกันชำระค่าขาดประโยชน์ให้แก่โจทก์เดือนละ ๒๑,๘๗๕ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ ๑ จะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อทั้งสองคันคืนโจทก์หรือชดใช้ราคา แต่ค่าเสียหายดังกล่าวกำหนดให้ไม่เกิน ๖ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ .

Share