คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 843/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ฟ้องแย้งนอกจากจะต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้แล้วต้องเป็นคำฟ้องที่มีสภาพแห่งข้อหาว่าโจทก์โต้แย้งสิทธิของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมอย่างไร ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ด้วย ซึ่งจำเลยให้การว่าเอกสารตามฟ้องแย้งเป็นเอกสารปลอมที่จำเลยลงลายมือชื่อไว้แล้ว โจทก์หรือตัวแทนโจทก์ร่วมกันกรอกข้อความโดยจำเลยไม่ได้ให้ความยินยอม หากคดีฟังได้ดังที่จำเลยให้การไว้ ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและสัญญากู้ยืมเงินตามคำฟ้องของโจทก์ย่อมรับฟังไม่ได้ ศาลย่อมพิพากษายกฟ้องเอกสารดังกล่าวก็ไม่อาจนำไปใช้อ้างเป็นประโยชน์ต่อโจทก์หรือบุคคลภายนอกได้อยู่แล้ว หาจำเป็นที่จำเลยต้องฟ้องแย้งเพื่อให้โจทก์คืนหรือทำลายเอกสารดังกล่าวไม่ ที่จำเลยอ้างว่าเมื่อศาลพิพากษายกฟ้อง จำเลยไม่อาจเรียกเอกสารดังกล่าวคืนจากบุคคลภายนอกได้ จึงเกิดข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่แล้ว ชอบที่จะฟ้องแย้งได้นั้น การที่จำเลยจะเรียกเอกสารดังกล่าวคืนจากบุคคลภายนอกได้หรือไม่ ไม่เกี่ยวกับข้อโต้แย้งอันเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ในคดีนั้น ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 837,077.10 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์หากไม่ชำระยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ได้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและสัญญากู้ยืมตามฟ้องจริง แต่ขณะนั้นสัญญาทั้งสองฉบับไม่ได้กรอกข้อความ โจทก์กรอกข้อความเองโดยจำเลยไม่ได้ให้ความยินยอม จึงเป็นสัญญาปลอม ขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้โจทก์คืนเอกสารสัญญาทั้งสองฉบับแก่จำเลย หรือให้ทำลายเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าว

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การและฟ้องแย้งจำเลย ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่มีคำสั่งรับฟ้องแย้ง แล้วมีคำสั่งใหม่ว่าไม่รับฟ้องแย้ง คืนค่าขึ้นศาลให้จำเลยทั้งหมด

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า ฟ้องแย้งนอกจากจะต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้แล้วต้องเป็นคำฟ้องที่มีสภาพแห่งข้อหาว่า โจทก์โต้แย้งสิทธิของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมอย่างไรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ด้วย เมื่อจำเลยให้การว่าเอกสารตามฟ้องแย้งเป็นเอกสารปลอมที่จำเลยลงลายมือชื่อไว้แล้ว โจทก์หรือตัวแทนโจทก์ร่วมกันกรอกข้อความ โดยจำเลยไม่ได้ให้ความยินยอม หากคดีฟังได้ดังที่จำเลยให้การไว้ ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและสัญญากู้ยืมเงินตามคำฟ้องของโจทก์ย่อมรับฟังไม่ได้ ศาลย่อมพิพากษายกฟ้องเอกสารดังกล่าวก็ไม่อาจนำไปใช้อ้างเป็นประโยชน์ต่อโจทก์หรือบุคคลภายนอกได้อยู่แล้วหาจำเป็นที่จำเลยต้องฟ้องแย้งเพื่อให้โจทก์คืนหรือทำลายเอกสารดังกล่าวไม่ที่จำเลยอ้างว่าเมื่อศาลพิพากษายกฟ้อง จำเลยไม่อาจเรียกเอกสารดังกล่าวคืนจากบุคคลภายนอกได้จึงเกิดข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่แล้วชอบที่จะฟ้องแย้งได้นั้นการที่จำเลยจะเรียกเอกสารดังกล่าวคืนจากบุคคลภายนอกได้หรือไม่ ไม่เกี่ยวกับข้อโต้แย้งอันเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ในคดีนี้ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าหากศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยไม่จำเป็นต้องฟ้องแย้ง ศาลก็ควรยกฟ้องแย้ง โดยไม่ต้องเพิกถอนคำสั่งเดิมที่สั่งรับฟ้องแย้งของจำเลยไว้นั้น เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยไม่จำต้องฟ้องแย้ง จึงมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้รับฟ้องแย้งแล้วมีคำสั่งใหม่ว่าไม่รับฟ้องแย้งนั้น ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม ประกอบด้วยมาตรา 27 แล้ว หาจำต้องก้าวล่วงไปสั่งยกฟ้องแย้งดังที่จำเลยฎีกาไม่ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share