คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4010/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีวัตถุประสงค์ในการให้กู้ยืม รับจำนอง เดิม ชื่อ บริษัท ท. จำกัดต่อมาได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อ เป็นบริษัทเงินทุน ท. จำกัดโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นบริษัทเงินทุนและเป็นสถาบันการเงินตาม พ.ร.บ.ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523 อันจะมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากผู้กู้ยืมได้เป็นพิเศษ กรณีจึงต้องนำ ป.พ.พ.มาตรา 654 ที่ห้ามคิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปีมาปรับแก่คดี โจทก์เรียกดอกเบี้ยเงินกู้จากจำเลยในอัตราร้อยละ 20 ต่อปีเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด เป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พุทธศักราช 2475 ข้อกำหนดอัตราดอกเบี้ยจึงตก เป็นโมฆะ โจทก์ย่อมหมดสิทธิเรียกดอกเบี้ยตามสัญญา แต่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยโดยเหตุผิดนัดในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัด.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีวัตถุประสงค์ในการให้กู้ยืม รับจำนอง รับจำนำ จำเลยที่ 1 และที่ 2ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ 300,000 บาท โดยยอมชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 20 ต่อปี จำเลยที่ 3 และที่ 4 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ดังกล่าว หลังจากหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว จำเลยทั้งสี่เพิกเฉยไม่ยอมชำระหนี้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าวและดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 20 ต่อปี
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า โจทก์จะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดหรือไม่ ไม่ทราบและไม่รับรอง จำเลยทั้งสองไม่เคยกู้เงินโจทก์ ดอกเบี้ยตามสัญญากู้เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดจึงตกเป็นโมฆะ
จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 4
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1, ที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันผิดนัดไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ชำระดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 20 ต่อปีตามฟ้องหรือไม่…โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียนโดยชอบด้วยกฎหมายมีวัตถุประสงค์ในการให้กู้เงิน รับจำนอง รับจำนำ เดิมโจทก์ชื่อบริษัทไทยเซฟวิ่งก์ทรัสต์ จำกัด ต่อมาเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2522ได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อเป็นบริษัทเงินทุนไทยเซฟวิ่งก์ทรัสต์จำกัด รายละเอียดปรากฏตามภาพถ่ายหนังสือรับรองของกระทรวงพาณิชย์ท้ายฟ้อง ซึ่งรับรองว่าโจทก์ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ดังนี้ เห็นว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นบริษัทเงินทุนและเป็นสถาบันการเงินตามพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินกู้ให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523 อันจะมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากผู้กู้ยืมได้เป็นพิเศษตามกฎหมายดังกล่าว กรณีจึงต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 ที่บัญญัติว่า ห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปีมาปรับแก่คดี การที่โจทก์เรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 20 ต่อปี จึงเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้เป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราพุทธศักราช 2475 ข้อกำหนดอัตราดอกเบี้ยจึงตกเป็นโมฆะ ย่อมมีผลให้โจทก์หมดสิทธิที่จะเรียกเอาดอกเบี้ยตามสัญญา แต่โจทก์ก็มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยโดยเหตุผิดนัดในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันผิดนัด…”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีแก่จำเลยทั้งสามตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share