คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3942/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดฐานดำรงชีพจากรายได้ของหญิงซึ่งค้าประเวณีนั้นจะต้องได้ความว่าผู้นั้นไม่มีปัจจัยอันพอเพียง สำหรับดำรงชีพด้วย เมื่อโจทก์ไม่ได้นำสืบถึงความข้อนี้เลย จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ดำรงชีพอยู่จากรายได้ของหญิงซึ่งค้าประเวณีจะลงโทษจำเลยที่ 1 สำหรับความผิดฐานนี้ไม่ได้และเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาไปถึงจำเลยที่ 2 ที่มิได้ฎีกาให้ไม่ต้องรับโทษได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๓, ๒๘๖, ๓๐๙, ๓๑๐ พระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๔, ๘, ๙, ๑๐
จำเลยที่ ๑ ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๑, ๒๘๓, ๒๘๖, ๓๑๐ พระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๔, ๘, ๙ ความผิดตามมาตรา ๒๘๓ รวม ๓ กระทง จำคุกกระทงละ ๑๐, ๘, ๑๐ ปี รวม ๒๘ ปี ความผิดตามมาตรา ๓๑๐ รวม ๓ กระทง จำคุกกระทงละ ๒ ปี รวม ๖ ปี ความผิดตามมาตรา ๒๘๖ จำคุกคนละ ๑๐ ปี ความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี มาตรา ๙ จำคุกคนละ ๖ เดือน รวมลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ ๔๔ ปี ๖ เดือน จำเลยที่ ๒ รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๒๒ ปี ๓ เดือน
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๖ ว่า ส่วนข้อหาฐานดำรงชีพจากรายได้ของหญิงซึ่งค้าประเวณี เห็นว่า การที่จะถือว่าผู้ใดกระทำความผิดดังกล่าว จะต้องได้ความว่าผู้นั้นไม่มีปัจจัยอันพอเพียงสำหรับดำรงชีพด้วย ปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้นำสืบถึงความข้อนี้เลย ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ ดำรงชีพอยู่จากรายได้ของหญิงซึ่งค้าประเวณี คำฟ้องของโจทก์สำหรับความผิดฐานนี้จึงลงโทษจำเลยไม่ได้ และกรณีนี้เป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ ๒ ที่ไม่ได้ฎีกาให้ไม่ต้องรับโทษได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองไม่มีความผิดฐานดำรงชีพจากรายได้ของหญิงซึ่งค้าประเวณีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๖ ด้วยรวมโทษทุกกระทงแล้ว จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ ๓๔ ปี ๖ เดือน จำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๑๗ ปี ๓ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share