คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 779/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ในคดีที่ศาลกำหนดหน้าที่นำสืบให้จำเลยนำพยานเข้าสืบก่อนทุกประเด็น การที่โจทก์ไม่มาศาลในวันนัดพิจารณาสืบพยานจำเลยนัดแรกโดยโจทก์ได้ทราบวันนัดโดยชอบแล้ว และมิได้แจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและดำเนินการสืบพยานจำเลยไปในวันเดียวกันนั้น ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้แจ้งให้ศาลทราบโดยปริยายว่า จำเลยได้ขอให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและพิจารณาชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียว จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินโจทก์ ที่ได้รับมอบอำนาจจากนายสุนทร เปรมฤทัย เจ้าของที่ดินให้ทำการจัดสรรเพื่อจำหน่ายตามส่วนโฉนดที่ดินเลขที่ 27804 ในราคา 252,500 บาท สัญญาเช่าซื้อได้สูญหายไปเพราะถูกไฟไหม้ นับแต่ทำสัญญาแล้วจำเลยค้างชำระค่าเช่าซื้อรวม 87 เดือน เป็นเงิน 217,500 บาท ขอให้พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารกับรื้อถอนบ้านเลขที่ 69 หมู่ที่ 1 ตำบลบางเขนอำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ออกจากที่ดินของโจทก์ หากไม่ยอมรื้อก็ให้โจทก์มีสิทธิรื้อโดยจำเลยออกค่าใช้จ่าย จำเลยให้การว่าจำเลยได้ชำระค่าเช่าซื้อที่ดินให้โจทก์หมดสิ้นแล้วโจทก์ไม่เคยติดต่อทวงถามหรือบอกเลิกสัญญา คดีโจทก์ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำสืบก่อน โจทก์ทราบวันนัดพิจารณาแล้วแต่ไม่มาศาลในวันสืบพยาน ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและดำเนินการสืบพยานจำเลยไปฝ่ายเดียว แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาข้อแรกว่าคดีนี้โจทก์ไม่ได้มาในวันนัดสืบพยานซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 บัญญัติว่าให้ศาลสอบถามจำเลยว่าประสงค์จะให้ดำเนินคดีต่อไปหรือไม่ ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งจำหน่ายคดีตามบทบัญญัติดังกล่าว เพราะไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แจ้งความประสงค์จะให้ดำเนินคดีต่อไป และมิได้ขอศาลชั้นต้นสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา จึงยังถือไม่ได้ว่าศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์ขาดนัดพิจารณา การที่ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยไปฝ่ายเดียว จึงเป็นการมิชอบด้วยกระบวนพิจารณานั้น เห็นว่าการที่โจทก์ไม่มาศาลในวันนัดพิจารณาสืบพยานจำเลย โดยโจทก์ได้ทราบวันนัดโดยชอบแล้ว และมิได้แจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบแต่ประการใด ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและดำเนินการสืบพยานจำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนไปในวันเดียวกันนั้น ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้แจ้งให้ศาลทราบโดยปริยายว่าจำเลยได้ขอให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ศาลชั้นต้นจึงได้มีคำสั่งแสดงว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาแล้วพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีนี้ไปฝ่ายเดียว ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 แล้ว ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่โจทก์ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ศาลชั้นต้นได้กำหนดหน้าที่นำสืบให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อนทุกประเด็น แต่จำเลยนำสืบได้เพียงประเด็นเดียว คือ ประเด็นข้อหนึ่งว่า จำเลยได้ชำระค่าเช่าซื้อที่ดินให้โจทก์ครบถ้วนแล้วหรือไม่ แต่ประเด็นข้อนี้จำเลยนำสืบรับว่าจำเลยชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ยังไม่ครบ จึงเท่ากับจำเลยนำสืบไม่ได้ว่าได้ชำระค่าเช่าซื้อที่ดินให้แก่โจทก์ครบถ้วนตามคำให้การของจำเลย ส่วนประเด็นข้อ 2 ข้อ 3 จำเลยก็มิได้นำสืบตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ในวันชี้สองสถาน ย่อมฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้นำสืบตามประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดหน้าที่นำสืบของจำเลยไว้จำเลยจึงไม่สมควรที่จะเป็นฝ่ายชนะคดี แม้ว่าโจทก์จะไม่ได้นำพยานเข้าสืบในชั้นนี้นั้น เห็นว่า ชั้นชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทไว้ 3 ข้อ คือ 1. จำเลยได้ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ครบถ้วนแล้วหรือไม่ 2. โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้และเลิกสัญญาแล้วหรือไม่ และ 3. คดีขาดอายุความแล้วหรือไม่ ประเด็นข้อ1. จำเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ว่าได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว โจทก์ปฏิเสธ ประเด็นจึงตกหน้าที่จำเลยนำสืบก่อน ส่วนประเด็นข้อ 2 ข้อ 3 โจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้าง จำเลยปฏิเสธ โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบก่อน แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ข้อ 1 จึงให้จำเลยนำพยานเข้าสืบก่อนทุกประเด็น ฯลฯ ดังนี้ เมื่อจำเลยอ้างตนเองเป็นพยานนำสืบว่า ได้ทำสัญญาเช่าซื้อที่พิพาทกับโจทก์จริง ในวันทำสัญญาจำเลยชำระเงินมัดจำให้โจทก์แล้ว 25,000 บาท และผ่อนชำระเดือนละ 1,500 บาท จำเลยชำระเงินค่างวดให้โจทก์ทุกงวดจนกระทั่งเหลืออีกประมาณ 30,000 บาท จำเลยไม่ชำระให้โจทก์เพราะโจทก์ไม่ยอมออกใบเสร็จรับเงินให้จำเลย โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่พิพาท เช่นนี้แสดงว่าจำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ แม้จะชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ไม่ครบถ้วนก็ตาม และเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องเป็นฝ่ายนำสืบตามประเด็นข้อ 2 ข้อ 3เมื่อโจทก์ขาดนัดพิจารณาจึงไม่มีสิทธินำสืบพยานฝ่ายตน ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา และฟังไม่ได้ว่าโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้และบอกเลิกสัญญาแล้วแต่อย่างใด โจทก์จึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีนั้น ชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share