แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาตามบันทึกข้อตกลงการหย่าและการจัดการแบ่งทรัพย์สินตามสัญญา ข้อ 2.3 ขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามสัญญา ข้อ 2.3 ให้แก่โจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่ได้ผิดสัญญา แต่โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ยอมโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามสัญญา ข้อ 2.1 ไม่ส่งมอบทรัพย์สินของบริษัท ท. จำกัด ตามสัญญา ข้อ 2.5 และไม่เข้าทำงานที่คลินิกของจำเลยโดยนัดคนไข้ไปรับการรักษาต่อที่คลินิกของโจทก์ ตามสัญญา ข้อ 5 ซึ่งตามสัญญา ข้อ 5 ระบุว่า โจทก์จะเข้าทำงานด้านทันตกรรม (งานจัดฟัน) ในคลินิกของจำเลยเป็นเวลา 5 ปี นับจากวันทำบันทึกข้อตกลงอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง ดังนั้น หากข้อเท็จจริงเป็นไปตามคำให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์นัดคนไข้ทันตกรรม (งานจัดฟัน) ของจำเลยไปรับการรักษาต่อที่คลินิกของโจทก์จริง จำนวนคนไข้ที่จะรับการรักษาต่อก็ไม่มีหรือมีน้อยลง ทำให้โจทก์ไม่ต้องมาทำงานหรือทำงานน้อยลงจากที่กำหนดในสัญญา ย่อมทำให้ส่วนแบ่งรายได้ด้านทันตกรรม (งานจัดฟัน) ของจำเลยย่อมลดลง จึงเป็นกรณีที่โจทก์ประสงค์จะให้จำเลยมีรายได้จากส่วนแบ่งตามสัญญา ข้อ 5 น้อยลงหรือไม่ได้เลยหากไม่มีคนไข้ทันตกรรม (งานจัดฟัน) มาใช้บริการต่อที่จำเลย ฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนนี้จึงมีมูลแห่งคดีเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมว่าฝ่ายใดผิดสัญญาตามบันทึกข้อตกลงการหย่าและจัดการแบ่งทรัพย์สินตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม แม้การกระทำละเมิดมิใช่คดีแพ่งที่ฟ้องเกี่ยวกับครอบครัวก็ตาม แต่มูลความแห่งคดีเรื่องละเมิดเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมและเกี่ยวข้องกับฟ้องแย้งของจำเลยที่อ้างว่าโจทก์ผิดสัญญา ข้อ 5 จำเลยจึงฟ้องแย้งในส่วนละเมิดนี้ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 5927 ตำบลวังทองหลาง อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 132 ตารางวา พร้อมอาคารเลขที่ 583 ถนนประดิษฐ์มนูธรรม เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร ส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยให้แก่โจทก์ โดยชำระค่าธรรมเนียม ภาษี และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการจดทะเบียนดังกล่าวกึ่งหนึ่ง หากไม่ปฏิบัติให้ถือตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินค่าธรรมเนียมภาษีและค่าใช้จ่าย นับแต่วันที่โจทก์ชำระเงินแทนไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินคืนให้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้บังคับให้โจทก์จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 47204 ตำบลศาลาธรรมสพน์ (บางระมาด) อำเภอตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 62 ตารางวา พร้อมบ้านเขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร ให้จำเลย และให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมการโอนและภาษีกึ่งหนึ่ง หากไม่ปฏิบัติให้ถือตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ กับให้โจทก์ชำระค่าเก้าอี้ทันตกรรมกับเครื่องปั๊มลมสำหรับทันตกรรมแบบไม่ใช้น้ำมันแก่จำเลยเป็นเงิน 890,000 บาท และค่าเสียหายเป็นเงิน 5,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 5,890,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไป
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 5927 ตำบลวังทองหลาง อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร พร้อมอาคารเลขที่ 583 ถนนประดิษฐ์มนูธรรม เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร ส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยให้แก่โจทก์ พร้อมชำระค่าฤชาธรรมเนียม (ที่ถูก คือค่าธรรมเนียม) ค่าภาษีอากร และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ กึ่งหนึ่ง หากจำเลยไม่ไปดำเนินการให้ถือตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้โจทก์ดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านเขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร พร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 47204 ตำบลศาลาธรรมสพน์ (บางระมาด) อำเภอตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ให้แก่จำเลยพร้อมชำระค่าธรรมเนียมการโอนและค่าภาษีกึ่งหนึ่ง หากโจทก์ไม่ปฏิบัติให้ถือตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ คำขอตามฟ้องและฟ้องแย้งนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติในชั้นนี้โดยคู่ความไม่โต้แย้งคัดค้านว่า เดิมโจทก์มีชื่อตัวว่า ห. จดทะเบียนสมรสกับจำเลยเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2545 วันที่ 13 มกราคม 2552 โจทก์เปลี่ยนชื่อตัวเป็น ท. จำเลยเดิมชื่อตัวว่า ก. ต่อมาวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2552 เปลี่ยนชื่อตัวเป็น ธ. และเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2554 ได้เปลี่ยนชื่อตัวกลับมาใช้ชื่อตัวเดิมคือ ก. โจทก์และจำเลยประกอบอาชีพทันตแพทย์ โดยโจทก์เป็นทันตแพทย์จัดฟัน ส่วนจำเลยเป็นทันตแพทย์ทั่วไป เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2548 โจทก์และจำเลยร่วมกันก่อตั้งบริษัท ท. ซึ่งมีวัตถุประสงค์ให้บริการรักษาทางทันตกรรมโดยร่วมกันตั้งคลินิก ท. ที่เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร เป็นแห่งแรก หลังจากนั้นประมาณ 1 ถึง 2 ปี เปิดสาขาห่างจากคลินิกแห่งแรกประมาณ 300 เมตร ชื่อคลินิก ท. เป็นสถานประกอบการ มีจำเลยเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้ดำเนินการสถานพยาบาลที่คลินิก ท. เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2548 วันที่ 28 กรกฎาคม 2549 บริษัท ท. ได้ซื้อเก้าอี้ทันตกรรม ยี่ห้อกัลลิเวอร์มิลเลนเนียม 3 ตัว ราคาตัวละ 800,000 บาท และเครื่องปั๊มลมสำหรับทันตกรรมแบบไม่ใช้น้ำมัน 2 ชุด ราคาชุดละ 90,000 บาท 1 ตัว และเครื่องปั๊มลม 1 ชุด ที่พิพาทกันในคดีนี้รวมอยู่ในเก้าอี้ทันตกรรมและเครื่องปั๊มลมที่ซื้อมาดังกล่าว หลังจากเปิดคลินิก ท. ได้ 1 ปี ก็ปิดคลินิก ท. ต่อมาวันที่ 14 ตุลาคม 2552 โจทก์และจำเลยร่วมกันก่อตั้งบริษัท อ. ซึ่งมีวัตถุประสงค์ให้บริการรักษาทันตกรรมโดยร่วมกันตั้งคลินิก อ. เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร มีโจทก์เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้ดำเนินกิจการที่สถานพยาบาลคลินิก อ. เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 และวันที่ 3 ตุลาคม 2554 ทนายความของจำเลยมีหนังสือถึงโจทก์อ้างว่า โจทก์มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวและอุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่น จำเลยประสงค์จะหย่าและแบ่งทรัพย์สิน วันที่ 21 ตุลาคม 2554 โจทก์และจำเลยจดทะเบียนหย่ากัน ใบสำคัญการหย่า และสำเนาทะเบียนการหย่า โจทก์และจำเลยตกลงแบ่งทรัพย์สินกัน ตามบันทึกตกลงการหย่าและจัดการแบ่งทรัพย์สิน โดยสัญญาข้อ 5 ที่ว่าโจทก์จะไปทำงานที่คลินิก ท. เกิดจากโจทก์เป็นผู้เสนอเพื่อเป็นการต่อรองในการให้โจทก์ได้คลินิก อ. และไม่ต้องชำระเงินบางส่วนที่จำเลยเรียกร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 5927 อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร พร้อมอาคารเลขที่ 583 ส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยให้แก่โจทก์ และให้โจทก์จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 47204 อำเภอตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร พร้อมบ้านที่เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร ให้แก่จำเลย คู่ความไม่อุทธรณ์ จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า ฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอให้ชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากการที่โจทก์นัดคนไข้ทันตกรรม (งานจัดฟัน) ของคลินิก ท. ของจำเลยให้ไปรับการรักษาต่อที่คลินิก อ. ของโจทก์เกี่ยวกับฟ้องเดิมหรือไม่ และชอบที่จะเสนอฟ้องแย้งส่วนนี้ต่อศาลชั้นต้นได้หรือไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาตามบันทึกข้อตกลงการหย่าและการจัดการแบ่งทรัพย์สินตามสำเนาที่แนบมาพร้อมฟ้องซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องโดยไม่ยอมโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามสัญญาข้อ 2.3 ขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามสัญญาข้อ 2.3 ให้แก่โจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่ได้ผิดสัญญา แต่โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ยอมโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามสัญญาข้อ 2.1 ไม่ส่งมอบทรัพย์สินของบริษัท ท. คือ เก้าอี้ทันตกรรม ยี่ห้อกัลลิเวอร์มิลเลนเนียม 1 ตัว และเครื่องปั๊มลมสำหรับทันตกรรมแบบไม่ใช้น้ำมัน 1 ชุด ตามสัญญาข้อ 2.5 และไม่เข้าทำงานที่คลินิก ท. ของจำเลยโดยนัดคนไข้ทันตกรรม (งานจัดฟัน) ไปรับการรักษาต่อที่คลินิก อ. ของโจทก์ ตามสัญญาข้อ 5 ทำให้จำเลยขาดส่วนแบ่งรายได้จากคนไข้ทันตกรรม (งานจัดฟัน) เห็นว่า ตามสัญญาข้อ 5 ระบุว่า โจทก์จะเข้าทำงานด้านทันตกรรม (งานจัดฟัน) ในคลินิก ท. ของจำเลยเป็นเวลา 5 ปี นับจากวันทำบันทึกข้อตกลงตามที่กำหนดโดยบริษัท ท. อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเวลาปกติเช่นเดียวกับก่อนที่จะมีการหย่าและตกลงแบ่งรายได้ 3 ใน 10 ส่วน ให้แก่คลินิก ท. และเมื่อรายได้ 2 ใน 10 ส่วนที่โจทก์ได้รับจาก 7 ใน 10 ส่วน มีจำนวนครบ 1,000,000 บาท โจทก์จะแบ่งรายได้จากเดิมเป็น 5 ใน 10 ส่วนจนครบกำหนดเวลา ดังนั้น หากข้อเท็จจริงเป็นไปตามคำให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์นัดคนไข้ทันตกรรม (งานจัดฟัน) ของจำเลยให้ไปรับการรักษาต่อที่คลินิก อ. ของโจทก์จริง จำนวนคนไข้ที่จะรับการรักษาต่อก็ไม่มีหรือมีน้อยลงทำให้โจทก์ไม่ต้องมาทำงานหรือทำงานน้อยลงจากที่กำหนดในสัญญา ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าส่วนแบ่งรายได้ด้านทันตกรรม (งานจัดฟัน) ของจำเลยย่อมลดลง จึงเป็นการที่โจทก์ประสงค์จะให้จำเลยมีรายได้จากส่วนแบ่งตามสัญญาข้อ 5 น้อยลงหรือไม่ได้เลยหากไม่มีคนไข้ทันตกรรม (งานจัดฟัน) ที่มาใช้บริการต่อทำให้จำเลยเสียหาย อันเป็นการละเมิดต่อจำเลย ฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนนี้จึงมีมูลแห่งคดีเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมว่า ฝ่ายใดผิดสัญญาตามบันทึกข้อตกลงการหย่าและจัดการแบ่งทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม แม้การกระทำละเมิดมิใช่คดีแพ่งที่ฟ้องเกี่ยวกับครอบครัวก็ตาม แต่มูลความแห่งคดีเรื่องละเมิดเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมและเกี่ยวข้องกับฟ้องแย้งของจำเลยที่อ้างว่าโจทก์ผิดสัญญาข้อ 5 กรณีต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 5 จำเลยจึงชอบที่จะเสนอคำฟ้องแย้งในส่วนละเมิดต่อศาลชั้นต้นได้ ฎีกาของจำเลยประการแรกฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ชำระค่าเสียหายแก่จำเลย 1,577,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้ง (วันที่ 27 ธันวาคม 2555) เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ กับให้โจทก์ชำระค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนค่าเสียหายเท่าที่จำเลยชนะคดีในส่วนนี้แทนจำเลยทั้งสามศาล โดยกำหนด ค่าทนายความในส่วนนี้ทั้งสามศาล 60,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากนี้ในศาลฎีกาให้เป็นพับ