คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1491/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรรมการบริษัทให้เช่าอาคารของบริษัทโดยไม่มีอำนาจ บริษัทใช้อาคารไม่ได้ บริษัทฟ้องขับไล่ผู้เช่า เป็นคดีละเมิดเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งต้องฟ้องต่อศาลในเขตที่ทรัพย์ตั้งอยู่ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) ไม่ใช่กรณีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาเช่าซึ่งจะต้องฟ้อง ต่อศาลแพ่งตามข้อตกลงในสัญญาเช่า
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยจากอาคารของโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง เพราะศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาโจทก์ฎีกาข้อให้ย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า บริษัทโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อาคาร โรงงาน เครื่องจักรพร้อมทั้งอุปกรณ์ใช้ในการประดิษฐ์สิ่งที่เป็นไม้และอัดไม้โดยใช้เครื่องจักรโรงงานตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 126/3 ถนนสุขุมวิท อำเภอเมืองฯ จังหวัดสมุทรปราการโจทก์มีวัตถุประสงค์ประกอบการค้าประดิษฐ์สิ่งที่เป็นไม้และอัดไม้โดยใช้เครื่องจักรฯลฯ โดยได้เริ่มผลิตไม้อัดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 ต่อมาคณะกรรมการชุดปัจจุบันของโจทก์เข้าดำเนินกิจการที่โรงงาน ปรากฏว่าจำเลยได้เข้าไปดำเนินงานผลิตไม้อัดโดยใช้โรงงาน เครื่องจักร และใบอนุญาตให้ตั้งโรงงานของโจทก์ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2514 โดยปราศจากมูลที่จะอ้างได้โดยชอบด้วยกฎหมาย แม้จะถือว่ามีการเช่ากันก็ขัดต่อวัตถุประสงค์ของโจทก์ ทั้งสัญญาเช่ายังขัดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้และข้อกำหนดที่ออกตามความในพระราชบัญญัติดังกล่าวด้วย สัญญาเช่าจึงเป็นโมฆะ จำเลยไม่มีสิทธิจะใช้โรงงานทรัพย์สินและใบอนุญาตของโจทก์อีกต่อไป โจทก์บอกให้จำเลยและบริวารออกไปจากโรงงานและส่งมอบทรัพย์สินทั้งหมดคืนโจทก์ จำเลยเพิกเฉย เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ จึงขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากโรงงานของโจทก์ และส่งมอบโรงงานพร้อมทั้งอุปกรณ์และทรัพย์สินคืนโจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 525,000 บาท กับค่าเสียหายเดือนละ 75,000 บาท ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2516 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากโรงงานของโจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยเข้าไปดำเนินกิจการในโรงงานของโจทก์โดยโจทก์ตกลงให้จำเลยเช่าเพื่อผลิตไม้อัดมีกำหนด 15 ปี และได้จดทะเบียนการเช่าแล้วจำเลยชำระค่าเช่าให้โจทก์เดือนละ 75,000 บาท จนถึงเดือนเมษายน 2516 แล้วโจทก์ไม่มาเก็บค่าเช่าดังที่เคยปฏิบัติมา ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะตั้งประเด็นเป็น 2 นัย ขัดแย้งกัน ไม่แน่นอน สัญญาเช่าไม่ขัดต่อวัตถุประสงค์ของโจทก์หรือขัดต่อกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการของโจทก์ไม่กระทบกระเทือนถึงสัญญาเช่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากโรงงานของโจทก์และส่งมอบโรงงาน เครื่องจักร และอุปกรณ์พร้อมทั้งทรัพย์สินและใบอนุญาตต่าง ๆ ให้แก่โจทก์ ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 75,000 บาทนับแต่เดือนพฤษภาคม 2516 จนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากโรงงานของโจทก์

จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลจังหวัดสมุทรปราการไม่มีอำนาจพิจารณาคดีนี้เพราะสัญญาเช่ารายพิพาท ข้อ 8 มีข้อความว่า “คู่กรณีตกลงกันว่า หากมีข้อพิพาทใด ๆ เกิดขึ้นเกี่ยวกับสัญญานี้แล้ว ให้คู่กรณีนำคดีฟ้องร้อง ณ ที่ศาลแพ่ง” และอุทธรณ์ประเด็นข้ออื่นด้วย

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์จะต้องปฏิบัติตามสัญญาเช่ารายพิพาท โดยนำข้อพิพาทขึ้นฟ้องร้องยังศาลแพ่งซึ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจเหนือคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 7(4) ศาลจังหวัดสมุทรปราการจึงไม่มีอำนาจพิจารณาคดีนี้ ปัญหาเรื่องอำนาจศาลเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การ ศาลอุทธรณ์ย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้ ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่น พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มีอำนาจยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการได้ ขอให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาต่อไป

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องโจทก์ประกอบคำให้การจำเลยรับฟังได้ว่าบริษัทโจทก์โดยนายไสว พงษ์เภตรารัตน์ กรรมการ และนายบุญจิตต์ พงษ์เภตรารัตน์กรรมการผู้จัดการ ได้นำโรงงานและกิจการผลิตไม้อัดของโจทก์ไปให้จำเลยเช่าดำเนินกิจการแทนโดยได้ทำหนังสือสัญญาเช่าและจดทะเบียนกันมีกำหนด 15 ปีนับตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2514 รายละเอียดปรากฏตามสัญญาเช่าหมาย ล.1,ล.2 ซึ่งข้อ 8 แห่งสัญญาดังกล่าวมีข้อความว่า “คู่สัญญาตกลงกันว่า หากมีข้อพิพาทใด ๆ เกิดขึ้นเกี่ยวกับสัญญานี้แล้ว ให้คู่กรณีนำคดีฟ้องร้อง ณ ที่ศาลแพ่ง”จำเลยได้เข้าไปดำเนินกิจการผลิตไม้อัดที่โรงงานพิพาทแล้ว ต่อมาวันที่ 8 มิถุนายน2516 บริษัทโจทก์ได้จดทะเบียนกรรมการผู้บริหารงานใหม่ กรรมการบริษัทโจทก์ชุดใหม่เข้าไปดำเนินกิจการไม่ได้ จึงได้ฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีนี้ต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการซึ่งโรงงานพิพาทตั้งอยู่ในเขตศาล อ้างว่าที่จำเลยเข้าไปดำเนินกิจการผลิตไม้อัดในโรงงานพิพาทปราศจากมูลเหตุที่จะอ้างได้โดยชอบด้วยกฎหมาย สัญญาเช่าที่จำเลยทำกับบริษัทโจทก์ชุดเก่าขัดต่อวัตถุประสงค์ของโจทก์ ทั้งเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามโดยชัดแจ้งตามกฎหมายตกเป็นโมฆะ ดังนี้ ที่คู่ความพิพาทกันคดีนี้มิได้พิพาทกันเกี่ยวด้วยสัญญาเช่าที่ทำกันไว้ เพราะมิได้ฟ้องร้องหาว่าคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งประพฤติผิดเงื่อนไขแห่งสัญญาเช่าหรือไม่ยอมปฏิบัติตามข้อกำหนดแห่งสัญญาเช่า แต่กลับปรากฏว่าพิพาทกันโดยโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยเข้าไปดำเนินกิจการผลิตไม้อัดในโรงงานพิพาทโดยไม่มีสิทธิ และอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากโรงงานพิพาท อันเป็นการฟ้องร้องในมูลละเมิดโจทก์จึงหาตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 7(4) ที่จะต้องยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลแพ่งดังที่ตกลงกันไว้ในหนังสือสัญญาเช่า หมาย ล.1, ล.2 ข้อ 8 ไม่คำฟ้องคดีนี้เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ทรัพย์พิพาทตั้งอยู่ในเขตศาล จึงเป็นการชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) แล้ว

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ในประเด็นข้ออื่นที่จำเลยอุทธรณ์ขึ้นมา ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้ศาลอุทธรณ์รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ คดีนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์เพราะโจทก์ฎีกาขอให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ แต่ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าธรรมเนียมชั้นฎีกามาอย่างคดีนี้มีทุนทรัพย์ ให้คืนค่าธรรมเนียมส่วนที่เกินแก่โจทก์

Share