คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 530/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ตาม พ.ร.บ.การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ พ.ศ.2548 มาตรา 67 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้คู่สัญญาขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบอาจตกลงกันเป็นหนังสือกำหนดให้เสนอข้อพิพาทใดๆ ที่มีมูลกรณีจากสัญญาขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบหรือละเมิดให้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้ชี้ขาดก็ได้ เมื่อตามใบตราส่งทั้งสามฉบับซึ่งเป็นหลักฐานแห่งการขนส่งสินค้าในคดีนี้ไม่มีข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการที่คู่สัญญาตกลงให้ระงับข้อพิพาททั้งหมดหรือบางส่วนที่เกิดขึ้นแล้วหรือที่จะเกิดขึ้นในอนาคตโดยวิธีอนุญาโตตุลาการ ทั้งจำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้นำสืบว่า มีสัญญาอนุญาโตตุลาการอื่นแยกต่างหากจากใบตราส่งทั้งสามฉบับดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่โจทก์กับจำเลยที่ 2 คู่สัญญาขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบมิได้ตกลงกันเป็นหนังสือกำหนดให้เสนอข้อพิพาทใดที่มีมูลกรณีจากสัญญาขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบดังกล่าว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางซึ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจได้โดยไม่ต้องเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการ
เมื่อบริษัท ซ. ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ผู้ประกอบการขนส่งต่อเนื่องในประเทศเดนมาร์กส่งมอบสินค้าให้แก่บุคคลอื่นโดยไม่ได้เวนคืนใบตราส่งเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2552 เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2552 จึงเป็นการที่โจทก์ผู้ส่งฟ้องจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ประกอบการขนส่งในต่างประเทศ และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในประเทศไทย เพื่อใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาขนส่งภายในเก้าเดือนนับแต่วันที่จำเลยที่ 2 ผู้ประกอบการขนส่งต่อเนื่องได้ส่งมอบของ สิทธิเรียกร้องของตามคำฟ้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตาม พ.ร.บ.การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ พ.ศ.2548 มาตรา 38 วรรคหนึ่ง
ตามใบตราส่ง ในช่องผู้รับตราส่ง หรือคำสั่ง ระบุว่า “ตามคำสั่ง” จึงเป็นใบตราส่งต่อเนื่องชนิดโอนให้กันได้ประเภทออกให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่ง ซึ่งตามมาตรา 22 (2) แห่ง พ.ร.บ.การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ พ.ศ.2548 บัญญัติให้ผู้ประกอบการขนส่งต่อเนื่องมีหน้าที่ส่งมอบของแก่บุคคลซึ่งได้เวนคืนต้นฉบับใบตราส่งต่อเนื่องฉบับใดฉบับหนึ่งซึ่งได้สลักหลังโดยชอบ
การที่ ต. ผู้รับตราส่งตามคำสั่งเดิมของโจทก์ไม่มารับสินค้า และพฤติการณ์ของโจทก์ที่ได้ปล่อยให้สินค้าอยู่ที่ท่าเรือปลายทางเป็นระยะเวลาเนิ่นนานถึง 9 เดือนเศษ ทำให้จำเลยที่ 2 ผู้ประกอบการขนส่งต่อเนื่องและบริษัท ซ. ตัวแทนจำเลยที่ 2 ได้รับความเสียหายโดยไม่ได้รับค่าระวางและมีค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการเก็บรักษาสินค้าตามฟ้อง ทั้งสินค้าดังกล่าวเป็นอาหารซึ่งบางส่วนเป็นกะทิซึ่งมีอายุการใช้งาน 12 เดือน แม้โจทก์จะอ้างว่า โจทก์พยายามติดต่อให้ลูกค้ามาชำระเงินโดยตลอดและยืนยันว่าผู้รับตราส่งใหม่จะมาเป็นผู้รับตู้สินค้าและชำระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมด เมื่อต่อมาโจทก์ได้แจ้งจำเลยที่ 1 ว่า ผู้รับตราส่งใหม่คือ ท. แต่ ท. ไม่ยอมมารับสินค้าดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่ผู้รับตราส่งปฏิเสธไม่มารับสินค้า เมื่อต่อมาพนักงานของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ผู้ประกอบการขนส่งต่อเนื่องได้บอกกล่าวไปยังโจทก์ผู้ตราส่งทันที และถามเอาคำสั่ง การที่โจทก์มีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 และตัวแทนจำเลยที่ 2 เก็บสินค้าตามฟ้องต่อไปหลังจากที่เก็บไว้นานถึง 9 เดือนเศษแล้ว เพื่อที่โจทก์จะหาผู้ซื้อรายต่อไปนั้น จึงเป็นคำสั่งที่สร้างภาระและความเสียหายแก่จำเลยที่ 2 ผู้ประกอบการขนส่งต่อเนื่องเกินสมควร โดยโจทก์ไม่ได้เยียวยาความเสียหายให้แก่จำเลยที่ 2 จึงเป็นคำสั่งที่ไม่อาจปฏิบัติได้ตามมาตรา 23 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ พ.ศ.2548
เมื่อต่อมา ต. ผู้รับตราส่งเดิมที่โจทก์แจ้งตามคำสั่งได้ติดต่อไปยังบริษัท ซ. ตัวแทนของจำเลยที่ 2 แล้วว่าต้องการรับมอบสินค้าโดยยินดีจ่ายค่าระวางสินค้าและค่าใช้จ่ายให้แก่ตัวแทนของจำเลยที่ 2 แล้วบริษัท ซ. จึงมอบสินค้าให้แก่ ต. โดยไม่เวนคืนใบตราส่งนั้น จึงเป็นการจัดการตามความเหมาะสมและความจำเป็นตาม พ.ร.บ.การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ พ.ศ.2548 มาตรา 23 วรรคสอง และจำเลยที่ 2 ผู้ประกอบการขนส่งต่อเนื่องและตัวแทนจำเลยที่ 2 มีสิทธิรับค่าระวางและค่าใช้จ่ายจาก ต. ได้ตาม พ.ร.บ.การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ พ.ศ.2548 มาตรา 23 วรรคสี่
เมื่อต่อมาบริษัท ซ. ตัวแทนจำเลยที่ 2 ได้ส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์มาถึงโจทก์โดยระบุว่า บริษัท ซ. ได้ปล่อยตู้สินค้าให้แก่ลูกค้าไปเนื่องจากว่าหากยังเก็บตู้สินค้าต่อไปจะทำให้ขาดทุนมากยิ่งขึ้น จึงเป็นการที่จำเลยที่ 2 ผู้ประกอบการขนส่งต่อเนื่องบอกกล่าวแก่โจทก์ผู้ตราส่งโดยไม่ชักช้า จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นตามมาตรา 23 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 697,773.78 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 672,553.05 บาท นับแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2552 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 672,553.05 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2552 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 9 ธันวาคม 2552) ต้องไม่เกิน 25,220.73 บาท ตามที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 10,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยทั้งสองไม่โต้แย้งกันในชั้นอุทธรณ์ฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนและมีภูมิลำเนาที่สมาพันธรัฐสวิส จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนหรือเป็นผู้ติดต่อในการประกอบกิจการในประเทศไทยของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2551 โจทก์ส่งสินค้าจำพวกอาหารหลายรายการจำนวน 644 กล่อง น้ำหนักรวม 10,841.55 กิโลกรัม ราคา 20,215 ดอลลาร์สหรัฐ จากท่าเรือแหลมฉบัง ประเทศไทยไปยังท่าเรือโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เพื่อจำหน่ายให้แก่ตลาดไทยผู้ซื้อ โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ขนส่งทางเรือตามใบตราส่งซึ่งจำเลยที่ 1 ลงนามในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 2 โดยตกลงขนส่งในเงื่อนไข BANGKOK THAILAND CY COPENHAGEN / DENMARK CY โดยโจทก์นำสินค้าบรรจุเข้าตู้สินค้าและนำไปส่งมอบแก่จำเลยที่ 1 ณ สถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง การรถไฟลาดกระบัง ตามใบตราส่ง ต่อมาวันที่ 2 ตุลาคม 2551 เรือบรรทุกตู้สินค้าพิพาทของโจทก์ได้ถึงท่าเรือโคเปนเฮเกน แต่ผู้ซื้อเป็นผู้รับตราส่งไม่มารับตู้สินค้าดังกล่าวที่ท่าเรือโคเปนเฮเกน ต่อมาวันที่ 10 มิถุนายน 2552 ตลาดไทยได้ชำระค่าระวางขนส่งและค่าปรับเนื่องจากการส่งตู้คอนเทนเนอร์คืนค่าล่าช้าให้แก่บริษัทซีเทนเนอร์ จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ที่ท่าเรือโคเปนเฮเกน บริษัทซีเทนเนอร์จำกัด จึงส่งมอบตู้สินค้าดังกล่าวให้แก่ตลาดไทยไปโดยไม่มีการเวนคืนใบตราส่ง
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ว่า การระงับข้อพิพาทอันเกิดจากรับขนภายใต้สัญญาการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ จึงต้องบังคับให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ พ.ศ.2548 มาตรา 38 และ 68 โจทก์จึงต้องนำคดีเสนอต่ออนุญาโตตุลาการชี้ขาดภายในเก้าเดือนนับแต่ผู้ขนส่งส่งมอบของ แต่โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางก่อน และเกินกำหนดกว่าเก้าเดือน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและสิทธิเรียกร้องตามคำฟ้องขาดอายุความแล้วนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ พ.ศ.2548 มาตรา 67 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “คู่สัญญาขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบจากตกลงกันเป็นหนังสือกำหนดให้เสนอข้อพิพาทใดๆ ที่มีมูลกรณีจากสัญญาขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบหรือละเมิด ให้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้ชี้ขาดก็ได้” เมื่อตามใบตราส่งซึ่งเป็นหลักฐานแห่งการขนส่งสินค้าในคดีนี้ไม่มีข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการ ที่คู่สัญญาตกลงให้ระงับข้อพิพาททั้งหมดหรือบางส่วนที่เกิดขึ้นแล้วหรือที่จะเกิดขึ้นในอนาคตโดยวิธีการอนุญาโตตุลาการ ทั้งจำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้นำสืบว่า ว่ามีสัญญาอนุญาโตตุลาการอื่นแยกต่างหากจากใบตราส่งดังนั้น จึงเป็นกรณีที่โจทก์กับจำเลยที่ 2 คู่สัญญาขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ มิได้ตกลงกันเป็นหนังสือกำหนดให้เสนอข้อพิพาทใดที่มีมูลกรณีจากสัญญาขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบดังกล่าว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางซึ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจได้โดยไม่จำต้องเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการดังที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ว่า สิทธิเรียกร้องตามคำฟ้องโจทก์ขาดอายุความนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติว่า บริษัทซีเทนเนอร์ จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ผู้ประกอบการขนส่งต่อเนื่องที่ประเทศเดนมาร์กส่งมอบสินค้าให้แก่บุคคลอื่นโดยไม่ได้เวนคืนใบตราส่งเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2552 เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2552 จึงเป็นการที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ส่งฟ้องจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ประกอบการขนส่งต่อเนื่องในต่างประเทศและจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในประเทศไทย เพื่อใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาขนส่งภายในเก้าเดือนนับแต่วันที่จำเลยที่ 2 ผู้ประกอบการขนส่งต่อเนื่องได้ส่งมอบของ สิทธิเรียกร้องตามคำฟ้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามพระราชบัญญัติการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ พ.ศ.2548 มาตรา 38 วรรคหนึ่ง อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ข้อต่อมาว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า สินค้าตามคำฟ้องได้ขนส่งจากประเทศไทยถึงประเทศเดนมาร์กเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2551 ที่ปลายทาง ตู้สินค้าดังกล่าวอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของบริษัทซีเทนเนอร์ จำกัด ตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในประเทศเดนมาร์ก และผู้รับตราส่งไม่มารับมอบสินค้าภายในระยะเวลาอันสมควรทำให้บริษัทซีเทนเนอร์ จำกัด ไม่ได้รับค่าระวางและเกิดค่าใช้จ่ายจากการเช่าสถานที่เก็บตู้สินค้าและค่าเสียเวลาจากการใช้ตู้สินค้าจนระยะเวลาล่วงเลยไปถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2552 เมื่อผู้รับตราส่งนำเงินค่าระวาง ค่าเก็บรักษาตู้และค่าเสียเวลามาชำระให้บริษัทซีเทนเนอร์ จำกัด จึงได้มอบตู้สินค้าดังกล่าวให้แก่ผู้รับตราส่งไป จำเลยที่ 1 ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินการของตัวแทนของจำเลยที่ 2 ที่ปลายทาง กรณีไม่ได้เกิดจากการที่จำเลยที่ 2 ผิดสัญญาอันจะทำให้จำเลยที่ 1 เข้าไปร่วมรับผิดด้วย โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายตามคำฟ้อง ความเสียหายตามคำฟ้องเกิดจากการดำเนินการที่ผิดพลาดของโจทก์เองที่ผู้รับสินค้าไม่มารับสินค้าภายในระยะเวลากำหนดนั้น เห็นว่า ตามใบตราส่งในช่องผู้รับตราส่ง หรือคำสั่ง (CONSIGNEE OR ORDER) ระบุว่า “ตามคำสั่ง (TO ORDER)” จึงเป็นใบตราส่งต่อเนื่องชนิดโอนให้กันได้ประเภทออกให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่ง ซึ่งตามมาตรา 22 (2) แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ พ.ศ.2548 บัญญัติให้ผู้ประกอบการขนส่งต่อเนื่องมีหน้าที่ส่งมอบของแก่บุคคลซึ่งได้เวนคืนต้นฉบับใบตราส่งต่อเนื่องฉบับใดฉบับหนึ่งซึ่งได้สลักหลังโดยชอบ โดยได้ความจากบันทึกยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของนายชัญญาพยานโจทก์ว่า ผู้รับตราส่งตามคำสั่งของโจทก์คือ ตลาดไทย โดยหลังจากเรือสินค้าไปถึงท่าเรือโคเปนเฮเกนแล้ว จำเลยทั้งสองมีหน้าที่แจ้งผู้ซื้อและหรือผู้รับตราส่งตามคำสั่งของโจทก์ว่าสินค้าได้มาถึงแล้วเพื่อให้มารับสินค้าและเวนคืนใบตราส่งให้แก่จำเลยที่ 2 หรือตัวแทนของจำเลยที่ 2 โดยมีเงื่อนไขชำระเงินในการรับสินค้า (D/P AT SIGHT) ว่า ผู้ซื้อต้องชำระสินค้าและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามตั๋วแลกเงินที่โจทก์ออกให้แก่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยหรือธนาคารตัวแทนโจทก์ที่ปลายทาง เมื่อธนาคารตัวแทนของโจทก์ยื่นตั๋วแลกเงินให้ผู้ซื้อชำระสินค้าครบถ้วนแล้วจึงสามารถรับเอกสารเกี่ยวกับการส่งสินค้าต่างๆ เช่น ใบตราส่ง ใบกำกับสินค้า ใบรายการสินค้า และหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดจากธนาคารตัวแทนของโจทก์ไปดำเนินการพิธีการทางศุลกากรเพื่อขอรับสินค้าจากจำเลยที่ 2 ได้ แต่เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2552 บริษัทซีเทนเนอร์ จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในประเทศเดนมาร์กได้ส่งมอบสินค้าให้บุคคลอื่นไปโดยไม่เวนคืนใบตราส่ง ทำให้โจทก์ไม่ได้รับเงินค่าสินค้า ส่วนจำเลยที่ 1 มีนายพรเทพ ทนายความของจำเลยที่ 1 เป็นพยานเบิกความประกอบบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของตนว่า ภายหลังที่สินค้ามาถึงท่าเรือโคเปนเฮเกนตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2551 บริษัทซีเทนเนอร์ จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ได้แจ้งตลาดไทยซึ่งเป็นผู้รับตราส่งตามคำสั่งของโจทก์ให้มารับมอบสินค้าและชำระค่าระวาง แต่ผู้รับตราส่งไม่มารับมอบสินค้า แม้บริษัทซีเทนเนอร์ จำกัด จะติดต่อผู้รับตราส่งอย่างต่อเนื่อง แต่ผู้รับตราส่งไม่มารับมอบสินค้าคงผัดผ่อนเวลามาโดยตลอด จึงเกิดค่าใช้จ่ายส่วนอื่นเพิ่มมากขึ้น ทั้งค่าปรับจากการส่งตู้สินค้าคืนล่าช้า ค่าเก็บรักษาตู้สินค้า และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ในท่าเรือ ซึ่งยังค้างชำระอยู่เป็นจำนวนมาก อันเป็นภาระของจำเลยที่ 2 และตัวแทนปลายทางจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดต่อผู้ให้เช่าตู้และท่าเรือปลายทางจนในที่สุดทั้งโจทก์และผู้รับตราส่งก็ยังไม่รับผิดชอบและดำเนินการใดเพื่อนำตู้สินค้าออกจากท่าเรือปลายทาง และในระหว่างที่จำเลยที่ 2 และตัวแทนติดตามเรื่อง โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบว่าจะเปลี่ยนผู้รับตราส่ง โดยจะขายสินค้าให้ลูกค้ารายอื่นคือ ไทยเอเชี่ยน ซุปเปอร์มาเก็ต ที่เมืองฮัมบูร์ก สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และโจทก์ขอให้จำเลยที่ 1 ติดต่อประสานกับทางบริษัทซีเทนเนอร์ จำกัด และจำเลยที่ 2 ให้ด้วยตามสำเนาไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ไทยเอเชี่ยน ซุปเปอร์มาเก็ตผู้ซื้อรายใหม่ไม่มีความประสงค์จะซื้อสินค้าจริงทำให้เสียเวลาจนเกิดค่าปรับ โดยโจทก์อ้างว่าผู้ซื้อจะเป็นผู้ชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดแต่ไม่มีผู้ซื้อมาชำระให้ จนระยะเวลาผ่านไปเกือบ 8 เดือน นับแต่สินค้าขนส่งถึงปลายทาง บริษัทซีเทนเนอร์ จำกัด และจำเลยที่ 2 เห็นว่ามีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นประกอบกับสินค้าที่ขนส่งเป็นอาหารมีอายุในการเก็บจำกัดจึงแจ้งให้จำเลยที่ 1 แจ้งโจทก์ว่า ผู้ขนส่งปลายทางต้องการนำสินค้าตามฟ้องออกประมูลขายเพื่อให้ได้ค่าใช้จ่ายที่ค้างชำระอยู่ โดยกำหนดวันประมูลขายคือ วันที่ 14 พฤษภาคม 2552 แต่โจทก์แจ้งจำเลยที่ 1 ให้แจ้งจำเลยที่ 2 ให้ระงับการขายไว้ก่อนตามสำเนาไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเมื่อพิจารณาเงื่อนไขการชำระเงิน ที่โจทก์อ้างว่าเป็นเงื่อนไขการชำระเงินค่าสินค้านั้นเป็นเอกสารที่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าประเทศไทยมีถึง เดรสเนอร์ แบงค์ เอจี ที่เมืองฮัมบูร์ก สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2552 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่สินค้าดังกล่าวอยู่ที่ท่าเรือปลายทางประมาณ 7 เดือน มีการระบุชื่อผู้จ่ายเงินคือ ไทยเอเชี่ยน ซุปเปอร์มาร์เก็ต โดยระบุจำนวนเงินที่สั่งจ่ายเพียง 13,207 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งน้อยกว่าค่าราคาสินค้าเดิมจำนวน 20,215 ดอลลาร์สหรัฐ ที่โจทก์ขายให้ตลาดไทยตามใบกำกับสินค้า ทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงตามสำเนาไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2552 นายชัญญาได้มีจดหมายถึงพนักงานบริษัทจำเลยที่ 2 ว่า ได้รับแจ้งจากลูกค้าว่าจะขายสินค้าไปยังฮัมบูร์ก สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และขอให้จำเลยที่ 2 ลดค่าปรับเนื่องจากการส่งคืนตู้คอนเทนเนอร์ล่าช้าและค่าใช้จ่ายทั้งหมด และต่อมาวันที่ 23 เมษายน 2552 นายชัญญาก็มีจดหมายถึงพนักงานบริษัทจำเลยที่ 2 ว่าให้ส่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดและค่าปรับเนื่องจากความเสียหายในการส่งตู้สินค้าล่าช้าไปยังไทยเอเชี่ยน ซุปเปอร์มาร์เก็ต ที่เมืองฮัมบูร์ก โดยต่อมาในวันเดียวกันพนักงานบริษัทจำเลยที่ 1 ได้มีจดหมายแจ้งไปยังนายชัญญาว่า ได้แจ้งสำนักงานใหญ่ในสมาพันธรัฐสวิสแล้วสำหรับการขายสินค้าเที่ยวนี้ต่อไปให้ไทยเอเชี่ยน ซุปเปอร์มาร์เก็ต แต่ค่าใช้จ่ายไม่อาจลดได้และคิดค่าใช้จ่ายกับผู้มารับสินค้ารายใหม่ ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า โจทก์ได้ขายสินค้าตามคำฟ้องให้ผู้ซื้อรายใหม่คือ ไทยเอเชี่ยน ซุปเปอร์มาร์เก็ต ภายหลังที่สินค้าดังกล่าวไปถึงท่าเรือปลายทางเป็นเวลา 6 เดือน ผู้รับตราส่งใหม่ตามคำสั่งของโจทก์จึงเป็น ไทยเอเชี่ยน ซุปเปอร์มาเก็ต เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงต่อมาตามสำเนาไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ว่า เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2552 พนักงานบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แจ้งนายชัญญาว่า ได้ติดต่อผู้ซื้อใหม่แล้วและได้แจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย แต่ผู้ซื้อใหม่ไม่ติดต่อกลับ จึงแจ้งให้นายชัญญาแจ้งผู้ซื้อใหม่เพื่อติดต่อกลับจำเลยที่ 1 ซึ่งต่อมาในวันที่ 5 พฤษภาคม 2552 นายชัญญาได้มีไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์แจ้งมายังพนักงานของจำเลยที่ 1 ว่า ลูกค้าของโจทก์จะไปพบตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในกรุงโคเปนเฮเกน เพื่อชำระค่าใช้จ่ายภายในวันศุกร์ที่แล้ว (วันที่ 1 พฤษภาคม 2552) พร้อมขอให้ส่งตู้สินค้าไปเมืองฮัมบูร์ก ซึ่งต่อมาระหว่างวันที่ 6 ถึงวันที่ 12 พฤษภาคม 2552 พนักงานบริษัทจำเลยที่ 1 ได้มีไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์สอบถามโจทก์เกี่ยวกับผู้ซื้อรายใหม่ และแจ้งโจทก์ว่าผู้ซื้อรายใหม่ไม่มาชำระค่าใช้จ่ายและไม่มารับสินค้า จนวันที่ 13 พฤษภาคม 2552 พนักงานบริษัทจำเลยที่ 1 จึงมีไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์แจ้งนายชัญญาว่าจะนำสินค้าออกประมูลและสอบถามให้โจทก์มีคำสั่งว่าจะทำอย่างไรกับสินค้า และทวงถามให้โจทก์ชำระค่าระวางและค่าใช้จ่ายให้แก่ตัวแทนผู้ขนส่ง และต่อมาในวันที่ 14 พฤษภาคม 2552 พนักงานบริษัทจำเลยที่ 1 ได้มีไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์แจ้งไปยังนายชัญญาว่า บริษัทซีเทนเนอร์ จำกัด และจำเลยที่ 2 เสนอจะจัดการขนส่งสินค้าไปยังเมืองฮัมบูร์กให้โจทก์โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และเสนอส่วนลดให้เป็นเงินจำนวน 2,257 ยูโร โดยให้โจทก์แจ้งชำระเงินจำนวน 6,500 ยูโร ภายในวันดังกล่าวก่อนเวลา 12 นาฬิกา แต่นายชัญญาก็มีไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์แจ้งกลับมาว่าต้องการส่งสินค้าให้ผู้รับตราส่งรายอื่นในประเทศสวีเดนและจะติดต่อกลับมา เห็นได้ว่า การที่ตลาดไทย ผู้รับตราส่งตามคำสั่งเดิมของโจทก์ไม่มารับสินค้า และพฤติการณ์ของโจทก์ที่ได้ปล่อยให้สินค้าอยู่ที่ท่าเรือปลายทางเป็นระยะเวลาเนิ่นนานถึง 9 เดือนเศษ ทำให้จำเลยที่ 2 ผู้ขนส่งและบริษัทซีเทนเนอร์ จำกัด ตัวแทนจำเลยที่ 2 ผู้ขนส่งได้รับความเสียหายโดยไม่ได้รับค่าระวางและมีค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการเก็บรักษาสินค้าตามคำฟ้อง ทั้งได้ความจากทางนำสืบของโจทก์และจำเลยที่ 2 ว่า สินค้าดังกล่าวเป็นอาหารซึ่งบางส่วนเป็นกะทิซึ่งมีอายุการใช้งาน 12 เดือน แม้นายชัญญาจะเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยที่ 2 ว่า โจทก์พยายามยามติดต่อให้ลูกค้ามาชำระเงินโดยตลอดและยืนยันว่า ไทยเอเชี่ยน ซุปเปอร์มาร์เก็ต จะมาเป็นผู้รับตู้สินค้าและชำระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมด ดังนั้นเมื่อต่อมาโจทก์ได้แจ้งจำเลยที่ 1 ว่ามีผู้รับตราส่งใหม่คือ ไทยเอเชี่ยน ซุปเปอร์มาเก็ต แต่ผู้รับตราส่งใหม่ดังกล่าวไม่ยอมมารับสินค้าดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่ผู้รับตราส่งปฏิเสธไม่มารับสินค้าซึ่งตามมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ พ.ศ.2548 ซึ่งบัญญัติว่าว่า “ในกรณีที่หาผู้รับตราส่งไม่พบ หรือผู้รับตราส่งปฏิเสธไม่ยอมรับของ ผู้ประกอบการขนส่งต่อเนื่องต้องบอกกล่าวไปยังผู้รับตราส่งทันที และถามเอาคำสั่งจากผู้ตราส่งหาก… ผู้ตราส่งละเลยไม่ส่งคำสั่งนั้นมาในเวลาอันควรหรือส่งมาเป็นคำสั่งอันไม่อาจปฏิบัติได้ หากของนั้นได้พ้นจากอารักขาภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยศุลกากรแล้ว ให้ผู้ประกอบการขนส่งต่อเนื่องมีสิทธินำของนั้นออกขาย ทำลาย หรือจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดตามความเหมาะสมและจำเป็นเมื่อได้จัดการตามวรรคสองแล้ว ให้ผู้ประกอบการขนส่งต่อเนื่องบอกกล่าวแก่ผู้ตราส่งโดยไม่ชักช้า เว้นแต่ไม่สามารถจะทำได้ ถ้าผู้ประกอบการขนส่งต่อเนื่องละเลยไม่บอกกล่าวแก่ผู้ตราส่ง ให้ผู้ประกอบการขนส่งต่อเนื่องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นในกรณีที่ได้จัดการกับของตามวรรคสองแล้ว ได้เงินจำนวนเท่าใด ให้ผู้ประกอบการขนส่งต่อเนื่องมีสิทธิหักเอาไว้เป็นค่าระวาง ค่าอุปกรณ์แห่งค่าระวาง และค่าใช้จ่ายอันเกิดจากการจัดการนั้น ถ้ายังมีเงินเหลือ ให้ส่งมอบแก่บุคคลซึ่งมีสิทธิจะได้เงินนั้นโดยพลันหรือถ้าส่งมอบไม่ได้ ให้นำไปฝากไว้ ณ สำนักงานวางทรัพย์ แต่ถ้าเงินยังขาดอยู่เท่าใด ผู้ตราส่งต้องรับผิดในส่วนที่ขาดนั้น…” ดังนั้นเมื่อต่อมาพนักงานบริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ผู้ขนส่งได้บอกกล่าวไปยังโจทก์ผู้ตราส่งทันที และถามเอาคำสั่ง การที่โจทก์มีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 ผู้ขนส่งและตัวแทนผู้ขนส่งเก็บสินค้าตามคำฟ้องต่อไปหลังจากที่เก็บไว้นานถึง 9 เดือน เพื่อที่โจทก์จะหาผู้ซื้อรายใหม่ต่อไปนั้น จึงเป็นคำสั่งที่สร้างภาระและความเสียหายให้แก่ผู้ขนส่งเกินสมควร โดยที่โจทก์ไม่ได้เยียวยาความเสียหายให้แก่จำเลยที่ 2 จึงเป็นคำสั่งที่ไม่อาจปฏิบัติได้ ตามมาตรา 23 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏจากการนำสืบของจำเลยที่ 1 ว่า ตลาดไทยซึ่งเป็นผู้รับตราส่งเดิมที่โจทก์แจ้งตามคำสั่งได้ติดต่อไปยังบริษัทซีเทนเนอร์ จำกัด ตัวแทนของจำเลยที่ 2 ว่า ต้องการรับมอบสินค้าตามคำฟ้องโดยยินดีจ่ายค่าระวางสินค้าและค่าใช้จ่ายให้แก่ตัวแทนของจำเลยที่ 2 แล้วบริษัทซีเทนเนอร์ จำกัด ตัวแทนของจำเลยที่ 2 จึงมอบสินค้าดังกล่าวให้แก่ตลาดไทยโดยไม่ได้เวนคืนใบตราส่งนั้น จึงเป็นการจัดการตามความเหมาะสมและจำเป็นตามพระราชบัญญัติการส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ พ.ศ. 2548 มาตรา 23 วรรคสอง และจำเลยที่ 2 ผู้ประกอบการขนส่งต่อเนื่องและตัวแทนจำเลยที่ 2 มีสิทธิรับชำระค่าระวางและค่าใช้จ่ายจากตลาดไทยได้ ตามมาตรา 23 วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2552 บริษัทซีเทนเนอร์ จำกัด ตัวแทนจำเลยที่ 2 ได้ส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์มาถึงโจทก์โดยระบุว่า บริษัทซีเทนเนอร์ จำกัด ได้ปล่อยตู้สินค้าให้แก่ลูกค้าไปเนื่องจากว่าหากยังเก็บต่อไปจะทำให้ขาดทุนมากยิ่งขึ้นตามสำเนาไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ จึงเป็นการที่จำเลยที่ 2 ผู้ประกอบการขนส่งต่อเนื่องบอกกล่าวแก่โจทก์ผู้ตราส่งโดยไม่ชักช้า จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นตามมาตรา 23 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว แม้จำเลยที่ 2 จะขาดนัดยื่นคำให้การ เมื่อพยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ขนส่งต่อเนื่องในต่างประเทศไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เช่นกัน ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยให้จำเลยทั้งสองรับผิดในค่าเสียหายตามคำฟ้องให้แก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ในข้อนี้ฟังขึ้น คดีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยที่ 1 อีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ

Share