แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นบริษัทจำกัด มี ว. เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ โจทก์จดทะเบียนเลิกบริษัทวันที่ 18 มิถุนายน 2541 มี ว. เป็นผู้ชำระบัญชี แต่โจทก์ฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2541 ดังนี้ เมื่อโจทก์จดทะเบียนเลิกบริษัทและมีการตั้งผู้ชำระบัญชีแล้ว อำนาจในการฟ้องคดีจึงตกอยู่แก่ผู้ชำระบัญชี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1259 โจทก์ฟ้องคดีนี้โดย ว. ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๓๗๙,๔๑๑.๑๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๓๕๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๒๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๐ เป็นต้นไปแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๕,๐๐๐ บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๒๓๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ เป็นต้นไป แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีนาย ว. เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ ต่อมาโจทก์จดทะเบียนเลิกบริษัทเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๔๑ โดยมีนาย ว. เป็นผู้ชำระบัญชี และจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีในวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๔๑ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๑ คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยในเบื้องต้นตามที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ในข้อนี้จำเลยฎีกาว่าโจทก์จดทะเบียนเลิกบริษัทโดยมีนาย ว. เป็นผู้ชำระบัญชี จากนั้นโจทก์โดยนาย ว. ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ ไม่ใช่ในฐานะผู้ชำระบัญชีบริษัทโจทก์ จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า จากคำฟ้องของโจทก์ โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีนาย ว. เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ โดยมิได้ระบุว่านาย ว. ฟ้องคดีนี้ในฐานะผู้ชำระบัญชีบริษัทโจทก์ ทั้งโจทก์ยังนำพยานโจทก์ปากนาย ว. เข้าเบิกความพร้อมอ้างส่งเอกสารเมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๔๑ และวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๑ โดยนาย ว. เบิกความมีใจความว่า โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคล มีนาย ว. เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ดังเดิมเช่นนี้ จึงเป็นการยืนยันว่า บริษัทโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยนาย ว. ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทน เมื่อปรากฏว่าโจทก์จดทะเบียนเลิกบริษัทก่อนฟ้องคดีนี้ อำนาจในการฟ้องคดีจึงตกอยู่แก่ผู้ชำระบัญชี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๕๙ โจทก์โดยนาย ว. ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น คดีไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นข้ออื่นอีก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.