คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2082/2529

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

พินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองที่ผู้ทำลงลายพิมพ์นิ้วมือและมีผู้ลงลายมือชื่อเป็นพยานสองคนกับมีปลัดอำเภอรักษาราชการแทนปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้ากิ่งอำเภอเป็นผู้จัดทำและลงลายมือชื่อด้วยแต่มิได้ประทับตราตำแหน่งไว้เป็นสำคัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1655(4)นั้นเป็นพินัยกรรมที่สมบูรณ์ในฐานะที่เป็นพินัยกรรมธรรมดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1656และมาตรา1665. คดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์แต่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นเป็นการไม่ชอบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ส่วนนี้ไม่มีผลการที่จำเลยฎีกาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนี้มาอีกจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249ศาลฎีกาไม่รับวินจฉัย. คำแก้ฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ศาลฎีกาพิพากษานอกเหนือจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้นต้องกระทำโดยยื่นคำฟ้องฎีกาจะเพียงแต่ขอมาในคำแก้ฎีกาหาได้ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ว่า โจทก์ ทั้ง สี่ เป็น พี่น้อง ร่วม บิดา มารดา เดียวกับ จำเลย ที่ 1 จำเลย ที่ 2 เป็น สามี จำเลย ที่ 1 นาง ปั่น มารดาโจทก์ ทั้ง สี่ และ จำเลย ที่ 1 ถึงแก่กรรม แล้ว มี ทรัพย์มรดก ตามบัญชี ทรัพย์ เอกสาร หมายเลข 3 ท้ายฟ้อง ซึ่ง ยัง ไม่ ได้ แบ่งปัน กันและ จำเลย ทั้ง สอง ครอบครอง แทน ทายาท ทุกคน ที่ดิน มรดก บางแปลงจำเลย ทั้ง สอง ได้ ออก น.ส.3 ก. ใน นาม ของ จำเลย โจทก์ ได้ ขอ ให้จำเลย แบ่งปัน ทรัพย์มรดก แต่ จำเลย ไม่ ยอม อ้าง ว่า นาง ปั่น ยกทรัพย์มรดก ทั้งหมด ให้ จำเลย ทั้ง สอง แล้ว ขอ บังคับ ให้ จำเลย ทั้งสอง แบ่ง ทรัพย์มรดก ตาม บัญชี ทรัพย์ ออก เป็น 5 ส่วน เท่าๆ กัน ให้โจทก์ ได้ คนละ 1 ส่วน
จำเลย ทั้ง สอง ให้การ ว่า ที่ดิน ตาม บัญชี ทรัพย์ ท้ายฟ้อง อันดับ 1และ 2 นาง ปั่น ยก ให้ จำเลย ที่ 1 เมื่อ 14 ปี มา แล้ว ไม่ ใช่ทรัพย์มรดก สำหรับ ที่ดิน ตาม บัญชีทรัพย์ ท้ายฟ้อง อันดับ 3 และ 4 กับเรือน 1 หลัง ตาม บัญชี ทรัพย์ ท้ายฟ้อง อันดับ 5 นาง ปั่น ทำ พินัยกรรมยก ให้ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 1 ตาม ลำดับ และ ที่ดิน ตาม บัญชี ทรัพย์ท้ายฟ้อง อันดับ 7 ไม่ ใช่ ทรัพย์มรดก แต่ เป็น ของ จำเลย ที่ 2 บุกเบิกก่น สร้าง มา เอง ส่วน ที่ดิน มือเปล่า ตาม บัญชี ทรัพย์ ท้ายฟ้องอันดับ 6 เมื่อ ประมาณ 10 ปี มา แล้ว นาง ปั่น ยก ให้ โจทก์ ที่ 1 และที่ 4 คนละ ครึ่ง ขณะ มี ชีวิต อยู่ นาง ปั่น ได้ แบ่ง ทรัพย์สิน ให้แก่ ลูกๆ ทุกคน แล้ว จำเลย ทั้ง สอง ไม่ เคย ยึด ถือ ทรัพย์สิน และไป ออก น.ส.3 แทน โจทก์ ขอ ให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษา ยกฟ้อง
โจทก์ ทั้ง สี่ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัย ว่า พินัยกรรม ไม่ มี ผล บังคับ ทรัพย์ ตาม บัญชีทรัพย์ ท้ายฟ้อง อันดับ 1, 2 และ 7 ไม่ ใช่ ทรัพย์มรดก อันดับ 6 เป็นของ โจทก์ ที่ 1 ที่ 4 คนละ ครึ่ง อันดับ 3, 4 และ 5 เป็น ทรัพย์มรดกพิพากษา แก้ เป็น ว่า ให้ แบ่ง ทรัพย์มรดก ตาม บัญชี ทรัพย์ ท้ายฟ้องอันดับ 3, 4 และ 5 ออก เป็น ห้า ส่วน เท่าๆ กัน ให้ โจทก์ ได้ คนละหนึ่ง ส่วน นอกจาก ที่ แก้ ให้ เป็น ไป ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น
จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า เมื่อ วันที่ 15 ธันวาคม 2520 นาง ปั่นเจ้ามรดก กับ จำเลย ทั้ง สอง ได้ ไป ที่ ที่ว่าการ อำเภอ ยางชุมน้อยพบ กับ นาย ชัยวัฒน์ ปลัดอำเภอ รักษา ราชการ แทน ปลัดอำเภอ ผู้ เป็นหัวหน้า กิ่งอำเภอ แล้ว นาง ปั่น แสดง ความ จำนง ว่า จะ ทำ พินัยกรรมนาง ปั่น ได้ ขอ ให้ นาย สุบิน และ นาย สม ซึ่ง บังเอิญ มา ที่ อำเภอให้ มา เป็น พยาน นาง ชัยวัฒน์ จัดพิมพ์ พินัยกรรม ตาม ความ ประสงค์ ของนาง ปั่น เสร็จแล้ว อ่าน ให้ นาง ปั่น กับ นาย สุบิน และ นาย สมพังนาง ปั่น ลง ลายพิมพ์ นิ้วมือ แล้ว ให้ นาย สุบิน และ นาย สม ลงชื่อ ไว้ นาย ชัยวัฒน์ ก็ ลง ลายมือชื่อ ใน พินัยกรรม ด้วย แต่ มิได้ ประทับตราตำแหน่ง ไว้ เป็น สำคัญ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1658(4)การ ที่ พินัยกรรม ของ นาง ปั่น เจ้ามรดก ทำ ต่อหน้า นาย สุบิน นาย สมและ นาย ชัยวัฒน์ รักษา ราชการ แทน ปลัดอำเภอ ผู้ เป็น หัวหน้ากิ่งซึ่ง ถือ ได้ ว่า เป็น พยาน ด้วย อีก คนหนึ่ง บุคคล ทั้ง สาม ดังกล่าวได้ ลงชื่อ ไว้ ใน พินัยกรรม พินัยกรรม ดังกล่าว จึง สมบูรณ์ ใน ฐานะเป็น พินัยกรรม ธรรมดา ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1656 และมาตรา 1665 เมื่อ พินัยกรรม ระบุ ยก ที่ดิน ตาม บัญชี ทรัพย์ ท้ายฟ้องอันดับ 3 และ 4 ให้ แก่ จำเลย ที่ 2 และ เรือน ตาม บัญชี ทรัพย์ท้ายฟ้อง อันดับ 5 ให้ จำเลย ที่ 1 ทรัพย์ ตาม บัญชี ทรัพย์ ท้ายฟ้องอันดับ 3, 4 และ 5 จึง ไม่ ใช่ ทรัพย์มรดก ที่ จะ ตก ได้ แก่ โจทก์ ซึ่งเป็น ทายาท โดยธรรม ศาลอุทธรณ์ ให้ แบ่ง ทรัพย์ ทั้ง สาม อัน ดับ นี้ให้ โจทก์ ได้ คนละ 1 ส่วน ใน 5 ส่วน ศาลฎีกา ไม่ เห็นพ้อง ด้วย
ที่ จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา ว่า ที่ดิน มือเปล่า ตาม บัญชี ทรัพย์ท้ายฟ้อง อันดับ 6 นาง ปั่น แบ่ง ให้ โจทก์ ที่ 1 และ ที่ 4 คน ละ ครึ่ง โจทก์ ที่ 4 ได้ เข้า ทำ ประโยชน์ และ ออก น.ส.3 ก. ใน ส่วน ของ ตนส่วน อีก ครึ่งหนึ่ง โจทก์ ที่ 1 ไม่ เอา จำเลย ทั้ง สอง เข้า ทำประโยชน์ โดย เจตนา ยึดถือ ครอบครอง เพื่อ ตน ที่ดิน ส่วน นี้ จำเลยทั้ง สอง เป็น ผู้ มี สิทธิ ครอบครอง พิเคราะห์ แล้ว ใน เรื่อง ที่ดินตาม บัญชี ทรัพย์ ท้ายฟ้อง อันดับ 6 ศาลชั้นต้น เห็นว่า จำเลย ทั้ง สองยอมรับ ว่า เป็น ของ โจทก์ ที่ 1 และ ที่ 4 จึง ไม่ มี ประเด็น ที่ จะต้อง วินิจฉัย และ เมื่อ ได้ วินิจฉัย ประเด็น อื่น ต่อไป แล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์ โจทก์ ทั้ง สี่ ฝ่าย เดียว อุทธรณ์ เฉพาะ เกี่ยวกับทรัพย์ ตาม บัญชี ทรัพย์ ท้ายฟ้อง อันดับ 1 ถึง 5 และ อันดับ 7 โดย มีคำขอ ท้าย อุทธรณ์ ให้ พิพากษา กลับ คำพิพากษา ศาลชั้นต้น เกี่ยวกับทรัพย์ ตาม บัญชี ทรัพย์ ท้ายฟ้อง เว้น อันดับ 6 จำเลย ทั้ง สอง มิได้แก้ อุทธรณ์ เกี่ยวกับ ทรัพย์ อันดับ 6 แต่ อย่างใด ดังนี้ ในชั้นอุทธรณ์ หา มี ประเด็น เรื่อง ทรัพย์ อันดับ 6 ไม่ การ ที่ศาลอุทธรณ์ ยกขึ้น วินิจฉัย ว่า แม้ จำเลย ทั้ง สอง นำสืบ ว่า จำเลยทั้ง สอง ได้ เข้า ทำ ประโยชน์ ใน ที่ดิน ตาม บัญชี ทรัพย์ ท้ายฟ้องอันดับ 6 ส่วน ที่ นาง ปั่น ยก ให้ โจทก์ ที่ 1 ก็ ถือ ว่า เป็น การทำ แทน โจทก์ ที่ 1 ที่ ส่วนนี้ ยัง เป็น ของ โจทก์ ที่ 1 จึง เป็น การวินิจฉัย นอก ประเด็น เป็น การ ไม่ ชอบ คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ ส่วน นี้ไม่ มี ผล การ ที่ จำเลย ฎีกา เกี่ยวกับ ทรัพย์ ตาม บัญชี ทรัพย์ท้ายฟ้อง อันดับ 6 มา อีก จึง เป็น ข้อ ที่ มิได้ ยกขึ้น ว่า กัน มาแล้ว ใน ศาลอุทธรณ์ ต้องห้าม ฎีกา ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกา ไม่ รับ วินิจฉัย
อนึ่ง ที่ โจทก์ แก้ ฎีกา มา ว่า ทรัพย์ ตาม บัญชี ทรัพย์ ท้ายฟ้องอันดับ 1, 2 และ 7 เป็น ทรัพย์มรดก ของ นาง ปั่น ที่ ยัง ไม่ ได้ แบ่งขอ ให้ นำ มา แบ่ง ด้วย นั้น เป็น การ ขอ นอกเหนือ จาก คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ต้อง กระทำ โดย ยื่น คำฟ้อง ฎีกา จะ เพียง แต่ ขอ มา ในคำแก้ ฎีกา เช่นนี้ หา ได้ ไม่ ศาลฎีกา ไม่ รับ วินิจฉัย
พิพากษา แก้ เป็น ว่า ให้ ยกฟ้อง โจทก์ ทั้ง สี่ สำหรับ ทรัพย์ ตามบัญชีทรัพย์ ท้ายฟ้อง อันดับ 3, 4 และ 5 เสียด้วย นอกจาก ที่ แก้ ให้เป็น ไป ตาม คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์.

Share