คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สิทธิเป็นทรัพย์สิน แต่สิทธิการเช่าต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของกฎหมายและสัญญา ซึ่งผู้เช่าจะโอนโดยผู้ให้เช่าไม่ยินยอมไม่ได้เมื่อยังไม่ปรากฏว่าผู้ให้เช่ายินยอม ศาลก็ไม่บังคับให้โอน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายมีบุตรด้วยกัน 3 คน จำเลยได้จงใจละทิ้งร้างโจทก์มา 2 ปีแล้วไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะโจทก์และบุตรตามสมควร จำเลยประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ไม่ทำมาหากินและทำร้ายโจทก์โดยปราศจากเหตุผลทั้งกล่าววาจาหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรงแก่โจทก์และบิดามารดาโจทก์ด้วยจำเลยต้องเลี้ยงดูบุตรและจัดการเรื่องที่อยู่อาศัยของโจทก์และบุตรโดยลำพังเป็นส่วนตัวโดยจำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย จึงขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน ให้บุตรทั้งสามอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของโจทก์แต่ผู้เดียว และห้ามไม่ให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้องในที่อยู่อาศัยของโจทก์

จำเลยให้การว่า ไม่ขัดข้องในการที่โจทก์จะหย่าขาดจากจำเลยแต่ขอให้บุตรอยู่ในความปกครองของจำเลย กับฟ้องแย้งเรียกสินเดิมและสินสมรสหลายอย่างรวมทั้งสิทธิการเช่าห้องเลขที่ 251 ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยอ้างว่าได้ให้นายยงยุทธจิตรากูล เป็นผู้ทำสัญญาแทนมาตั้งแต่ก่อนโจทก์กับจำเลยทำการสมรสกันโจทก์จำเลยได้อยู่กินด้วยกันในห้องพิพาทจนเดือนกรกฎาคม 2498 จำเลยจึงให้โจทก์ทำสัญญาเช่าห้องพิพาทกับสำนักงานทรัพย์สินฯ แทนจำเลยการเช่านี้เป็นทรัพยสิทธิซึ่งสามารถจำหน่ายจ่ายโอนได้ และเป็นสินเดิมของจำเลย ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีอำนาจขับไล่ ทั้งขอให้ศาลบังคับให้โจทก์โอนสิทธิการเช่าห้องเลขที่ 251 ให้แก่จำเลย

โจทก์ต่อสู้ฟ้องแย้งหลายประการ เรื่องห้องเช่าว่าไม่ใช่สินเดิมของจำเลยแต่เป็นสินสมรสเพราะได้มาระหว่างเป็นสามีภริยากัน

โจทก์จำเลยตกลงกันให้ถือว่า ต่างฝ่ายต่างมีสินเดิมด้วยกันทรัพย์เคลื่อนที่อยู่ในครอบครองของฝ่ายใดให้ตกเป็นของฝ่ายนั้นส่วนบุตรโจทก์ตกลงให้จำเลยรับเป็นผู้อุปการะ ที่ดินตามฟ้องแย้งโฉนดที่ 3166 โจทก์รับว่าโจทก์ได้มาระหว่างสมรส ในหนังสือยกให้มิได้ระบุให้เป็นสินส่วนตัว เหล่านี้เป็นประเด็นที่ยุติกันแล้ว

โจทก์จำเลยคงพิพาทกันเฉพาะสิทธิการเช่าห้องเลขที่ 251 ข้อนี้โจทก์จำเลยรับกันว่าได้ทำการสมรสกันเมื่อ พ.ศ. 2490 ก่อนและหลังปีที่กล่าวนี้ นายยงยุทธหลานจำเลยได้ทำสัญญาเช่าจากสำนักงานทรัพย์สินฯ เป็นรายปีแทนจำเลย ๆ เป็นผู้เสียค่าเช่า พ.ศ. 2498 โจทก์เป็นผู้ไปทำสัญญาเช่าจากสำนักงานทรัพย์สินฯ โจทก์ว่าทำในนามของโจทก์ ๆ เป็นผู้เสียค่าเช่า จำเลยว่าได้ให้โจทก์ไปทำสัญญาแทนจำเลย ๆ เป็นผู้เสียค่าเช่า

ศาลจังหวัดนครสวรรค์สั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้ววินิจฉัยว่าเมื่อหนังสือยกที่ดินโฉนดที่ 3166 มิได้ระบุไว้ให้โจทก์เป็นสินส่วนตัวก็ต้องเป็นสินสมรส ส่วนสิทธิการเช่าห้องเลขที่ 251 นั้นฟังได้ว่าก่อนสมรส จำเลยได้รับมาก่อนแล้ว หลังสมรสจำเลยก็ยังได้รับสิทธิการเช่าอยู่ แม้ใน พ.ศ. 2498โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าในนามโจทก์แต่ขณะนั้นโจทก์กับจำเลยยังมิได้หย่าขาดจากกันยังมีความสัมพันธ์ร่วมกันอยู่ ผู้ใดไปทำสัญญาก็คงไปทำเพื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด โดยที่จำเลยได้รับสิทธิการเช่าห้องมาแล้วก่อนสมรสกับโจทก์ ทรัพยสิทธิอันนี้ย่อมเป็นสินเดิมของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1465(1) จึงพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน ให้โจทก์แบ่งที่ดินโฉนดที่ 3166 เฉพาะส่วนของโจทก์ให้จำเลยกึ่งหนึ่ง ถ้าไม่สามารถแบ่งได้ให้ประมูลราคาในระหว่างกันเองถ้าตกลงกันไม่ได้ให้ขายทอดตลาดเฉพาะส่วนของโจทก์ แล้วแบ่งเงินให้จำเลยครึ่งหนึ่ง และให้โจทก์โอนสิทธิการเช่าห้องเลขที่ 251 ให้จำเลย

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า สัญญาเช่ารายนี้เป็นการเช่ารายปี เมื่อหมดปีก็ต้องทำกันใหม่ ใน พ.ศ. 2498 โจทก์จำเลยยังเป็นสามีภริยากันอยู่โจทก์เป็นผู้มีนามในสัญญาเป็นผู้เช่าห้องพิพาทจากสำนักงานทรัพย์สินฯ แต่สิทธิตามสัญญาเช่าไม่ใช่ทรัพย์สิน ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าสิทธิการเช่าเป็นสินสมรสจึงฟังไม่ขึ้น ขณะจำเลยทำสัญญาเช่าโจทก์จำเลยยังเป็นสามีภริยากัน การเช่าจึงเป็นการเช่าเพื่ออยู่ร่วมกันระหว่างโจทก์จำเลยหาใช่เป็นการเช่าเฉพาะส่วนตัวของจำเลยไม่จำเลยจะเอาเสียคนเดียวไม่ได้ (ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 249/2495 ระหว่างนายพยง โจทก์นายชม จำเลย) อนึ่ง การที่จะบังคับให้โจทก์โอนนั้น สำนักงานทรัพย์สินฯ ซึ่งเป็นเจ้าของห้องอาจไม่ยอมให้จำเลยเช่าต่อไปก็ได้ เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงตัวผู้เช่า จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะที่ให้โจทก์โอนสิทธิการเช่าห้องพิพาทให้จำเลยนั้นให้ยกเสีย นอกจากนี้ยืน

จำเลยฎีกาเฉพาะสิทธิการเช่าห้องพิพาท

ศาลฎีกาประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่าการที่โจทก์ไปทำสัญญาเช่าห้องพิพาทจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นการได้มาซึ่งสิทธิตามกฎหมายสิทธิชนิดนี้ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยไว้ว่าเป็นสิทธิร่วมกันระหว่างสามีภริยา หาใช่สิทธิส่วนตัวของฝ่ายใดไม่เมื่อข้อเท็จจริงมีอยู่อันทำให้ต้องวินิจฉัยปัญหากฎหมาย ดังนี้การที่ศาลไม่วินิจฉัยตามข้ออ้างของคู่กรณีว่า เป็นสินเดิมหรือสินสมรส จึงไม่ใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นดังจำเลยฎีกา จริงอยู่สิทธิเป็นทรัพย์สิน แต่สิทธิที่เกิดจากได้เช่าห้องพิพาทมาจากผู้ให้เช่า ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกนั้น ย่อมต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของกฎหมาย และสัญญาเช่าที่โจทก์กับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ตกลงทำกันไว้ว่าจะโอนสิทธิการเช่าไม่ได้เว้นแต่จะได้รับความยินยอมของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นหนังสือ ซึ่งตามท้องสำนวนไม่ปรากฏหลักฐานเช่นว่านี้ ศาลจึงไม่อาจบังคับคดีในเมื่อเห็นอยู่ว่ามีทางจะทำให้ไม่เป็นผลตามคำบังคับนั้นได้ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าธรรมเนียมค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share