คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1280/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่พิพาทเดิมเป็นของบิดามารดาโจทก์ ได้เอามาขายฝากโดยทำสัญญากันเองไว้แก่บิดามารดาจำเลย บิดามารดาจำเลยตายแล้วจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทเกิน 10 ปีแล้ว และเมื่อบิดามารดาโจทก์ตาย โจทก์ก็มิได้จัดการจดทะเบียนรับมฤดก ปล่อยให้ฝ่ายจำเลยครอบครองมาเกิน 10 ปี จนจำเลยได้มาร้องต่อศาลให้แสดงกรรมสิทธิว่าเป็นของจำเลย ศาลก็ได้สั่งแสดงกรรมสิทธิไปแล้ว ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าแม้นิติกรรมการขายฝากไม่สมบูรณ์ก็พึงเห็นเจตนาของคู่กรณีได้ว่า บิดามารดาโจทก์มอบที่ดินให้บิดามารดาจำเลยดังเช่นขาย แต่สงวนไว้เพียงสิทธิไถ่ถอน ฉะนั้นจะเรียกว่าบิดามารดาจำเลยยึดถือที่ดินไว้ในฐานผู้แทนผู้ครอบครองตามมาตรา 1381 ป.ม.แพ่งยังไม่ได้ กรณีเช่นนี้เรียกได้ว่า บิดามารดาจำเลยเข้าครอบครองเพื่อตนโดยอาศัยการอนุญาตของเจ้าของ จึงมีปัญหาข้อเท็จจริงที่จะต้องพิจารณาว่าฝ่ายจำเลยได้ครอบครองมาโดยสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาจนเกิน 10 ปีหรือไม่ การที่จะแสวงหาความจริงข้อนี้ ต้องพิเคราะห์กิริยาอาการของฝ่ายโจทก์ผู้มอบที่ดินให้นั้นด้วย เพราะถ้าเจ้าของเดิมไม่แสดงอาการเป็นเจ้าของเกี่ยวข้องกับที่นั้นเลย สละละทิ้งไปจนเกินเวลาอันสมควรแล้ว ก็พึงเห็นเจตนาของคู่กรณีได้ว่าทั้งสองฝ่ายยินยอมให้ฝ่ายครอบครอบทำการครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเพื่อผู้ครอบครองนั้นเองตั้งแต่ต้นมาทั้งนี้ได้เคยมีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้แล้วว่าทำสัญญากันเองเป็นทำนองขายฝากนั้นเจ้าของเดิมจะมาฟ้องเอาที่คืนโดยอ้างข้อสัญญาที่ให้ไถ่นั้นหาได้ไม่ (ฎีกาที่ 5/2465, 352/2492) สำหรับคดีนี้โจทก์จะชนะคดีได้ก็ด้วยการแสดงว่าโจทก์มีสิทธิดีกว่าตามข้อกฎหมายดังกล่าวข้างต้น แต่คดีนี้โจทก์อ้างว่าโจทก์ยังคงแสดงสิทธิเป็เจ้าของอยู่ ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพะยานเสียนั้นยังไม่สมควร จึงต้องพิพากษายก ให้ศาลชั้นต้นดำเนินพิจารณา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า บิดามารดาโจทก์ได้กู้เงินบิดามารดาจำเลย และมอบโฉนดให้ยึดถือเป็นประกัน และมอบนาให้ทำต่างดอกเบี้ย ต่อมาบิดามารดาโจทก์และบิดามารดาจำเลยตาย จำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลแสดงว่าที่นาเป็นกรรมสิทธิของจำเลย ศาลจังหวัดนครปฐมได้มีคำสั่งให้นาเป็นกรรมสิทธิของจำเลยตามคดีแดงที่ ๑๑๕/๒๔๙๐ โจทก์เพิ่งทราบ จึงขอให้ศาลถอนคำสั่งคดีแดงที่ ๑๑๕/๙๐ เสีย และบังคับให้จำเลยรับชำระหนี้และมอบโฉนดให้แก่โจทก์ และถอนชื่อจำเลยออกจากโฉนด และใส่ชื่อโจทก์แทนกับห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้อง จำเลยให้การว่าบิดามารดาโจทก์เอาที่ดินแปลงนี้มาขายฝากแก่บิดามารดาจำเลย แล้วอพยพไป บิดามารดาจำเลยตาย จำเลยได้รับมฤดกครอบครองสืบเนื่องมาโดยสงบและเปิดเผยเกิน ๑๐ ปีแล้ว ศาลได้แสดงกรรมสิทธิแก้ทะเบียนเป็นชื่อจำเลยแล้ว ชั้นพิจารณาคู่ความรับกันในข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีควรวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามคำขอของโจทก์ได้ แล้วพิพากษาว่าจำเลยยังไม่ได้กรรมสิทธิในที่พิพาท จึงให้เพิกถอนคำสั่งคดีแดงที่ ๑๑๕/๒๔๙๐ ให้จำเลยรับชำระหนี้ ๖๔๐ บาท ให้ตามฟ้องแล้วมอบโฉนดคืนโจทก์ ถอนชื่อจำเลยออกจากโฉนดและใส่ชื่อโจทก์แทน ห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โดยแก้จำนวนเงินหนี้ ๖๔๐ บาท เป็น ๖๘๐ บาท ตามที่คู่ความรับกัน
จำเลยฎีกา,
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้นิติกรรมการขายฝากนี้ จะทำไม่ถูกต้องตามกฎหมายก็ดี แต่ก็เห็นเจตนาของคู่กรณีได้ว่าบิดามารดาโจทก์ได้มอบที่ดินให้แก่บิดามารดาจำเลยดังเช่นขาย แต่สงวนสิทธิไว้เพียงสิทธิไถ่ถอน หรืออำนาจที่จะเอาคืนได้ กรณีเช่นนี้เรียกได้ว่าบิดามารดาจำเลยยึดถือที่ดินไว้ในฐานะผู้แทนผู้ครอบครองตามมาตรา ๑๓๘๑ ป.ม.แพ่งฯ ยังไม่ได้ จึงเรียกได้ว่าเป็นการเข้าครอบครองเพื่อตน แต่โดยอาศัยการอนุญาตของผู้เป็นเจ้าของ ปัญหาที่จะต้องพิจารณาต่อไปว่าทางฝ่ายจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทนั้นมาโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจนเป็นเวลาเกิน ๑๐ ปีแล้วหรือหาไม่ ซึ่งจะต้องพิจารณาถึงกิริยาอาการของฝ่ายผู้มอบที่ดินให้คือ ฝ่ายโจทก์ด้วยนั้น เพราะถ้าฝ่ายเจ้าของเดิมไม่มาแสดงอาการเป็นเจ้าของหรือแสดงสิทธิเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นเสียเลย สละละทิ้งไปจนเกินเวลาอันสมควร ก็พึงเห็นเจตนาระหว่างคู่กรณีนั้นได้ว่าทั้งสองฝ่ายได้ยินยอมให้ฝ่ายครองครองทำการครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเพื่อผู้ครอบครองนั้นเองตั้งแต่ต้นมา และโดยฉะเพาะในเรื่องทำสัญญากันเองเป็นทำนองขายฝากนั้น ได้มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยว่า เจ้าของเดิมจะมาฟ้องเอาที่ดินคืน โดยอ้างข้อสัญญาที่ให้ไถ่ได้นั้น หาได้ไม่ สำหรับกรณีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินเป็นของบิดามารดาโจทก์ เมื่อบิดามารดาโจทก์ตายแล้ว โจทก์มิได้จัดการจดทะเบียนการรับมฤดกแต่อย่างใด จนล่วงเลยเวลามาช้านาน และทั้งจำเลยก็เคยแสดงต่อศาลมาครั้งหนึ่งว่าได้ครอบครองมาโดยสงบและเปิดเผยด้วยเกิน ๑๐ ปีแล้วจนศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิว่าเป็นของจำเลยแล้ว โจทก์จะชนะคดีไปก็ด้วยการแสดงว่าโจทก์มีสิทธิดีกว่าตามนัยข้อกฎหมายดังกล่าวแล้ว แต่ในเรื่องนี้ โจทก์อ้างว่ายังคงแสดงสิทธิเป็นเจ้าของอยู่ตลอดมา ซึ่งความข้อนี้ ข้อเท็จจริงยังไม่ประจักษ์ ศาลฎีกาเห็นว่าศาลชั้นต้นงดสืบพะยานเสียนั้นยังไม่สมควร
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่าง ให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาต่อไปตามในประเด็นและตามข้อกฎหมายดังกล่าวแล้ว

Share