คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 457/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ทรงสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อที่ดินและอาคารจากการเคหะฯ และจำเลยทำสัญญาจะขายสิทธิดังกล่าวให้แก่โจทก์ โดยโจทก์ได้ชำระเงินค่าซื้อสิทธิแก่จำเลยและผ่อนชำระค่าเช่าซื้อต่อการเคหะฯ ครบถ้วนแล้ว แต่จำเลยไม่โอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยโอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อระหว่างจำเลยกับการเคหะฯ ให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากไม่สามารถโอนได้ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 157,080 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดังนี้เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับเอาแก่ที่ดินและอาคารซึ่งโจทก์อ้างว่าได้ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว เพราะว่าหากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารดังกล่าว ส่วนการบังคับจำเลยให้โอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อเป็นเพียงผลจากการที่ศาลได้พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีแล้วเท่านั้น จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อที่ดินและอาคารดังกล่าวมีราคาทุนทรัพย์ตามที่โจทก์ขอให้จำเลยชำระในกรณีไม่สามารถโอนได้เป็นเงิน 157,080 บาท คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวง ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 (4)

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ทรงสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อที่ดินและอาคารจากการเคหะแห่งชาติในฐานะผู้เช่าซื้อแฟลต ห้องเลขที่ 13/44 ถนนสุขาภิบาล แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยทำสัญญาจะขายสิทธิดังกล่าวแก่โจทก์ โจทก์ชำระเงินค่าซื้อสิทธิแก่จำเลยและผ่อนชำระค่าเช่าซื้อต่อการเคหะแห่งชาติครบถ้วนแล้ว แต่จำเลยไม่โอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยโอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อระหว่างจำเลยกับการเคหะแห่งชาติให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากไม่สามารถโอนได้ ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 157,080 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ฟ้องขอให้โอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อให้แก่โจทก์อันเป็นคำขอหลัก ซึ่งเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้แม้จะมีคำขอให้ใช้ราคาแทนมาด้วย ก็เป็นคำขอรองหลังจากไม่อาจบังคับตามคำขอหลักได้แล้วเท่านั้น คดีโจทก์จึงไม่อยู่ในอำนาจศาลนี้ ไม่รับฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับเอาแก่ที่ดินและอาคารซึ่งโจทก์อ้างว่าได้ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว เพราะว่าหากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารดังกล่าว ส่วนการบังคับจำเลยให้โอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อเป็นเพียงผลจากการที่ศาลได้พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีแล้วเท่านั้น จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อที่ดินและอาคารดังกล่าวมีราคาทุนทรัพย์ตามที่โจทก์ขอให้จำเลยชำระในกรณีไม่สามารถโอนได้เป็นเงิน 157,080 บาท คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวง ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 (4) ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ ให้รับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาคดีต่อไป.

Share