คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 778/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

(1) เมื่อโจทก์บรรยายว่า จำเลยเป็นเสมียนตรามีหน้าที่จัดทำ รักษา และรับผิดชอบเกี่ยวกับการเงิน การบัญชี และการเบิกจ่ายเงิน และมีเจตนาทุจริตเบียดบังยักยอกเอาเงินไป มีรายการต่าง ๆ ซึ่งพอเข้าใจได้ว่าเงินนั้นอยู่ในความรับผิดของจำเลย ทั้งระบุวันเวลาทำผิดแต่ละรายการไว้ด้วย นั้น ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ส่วนที่ว่าจำเลยรับมาจากใคร ที่ไหน เมื่อใด เป็นรายละเอียดไม่ต้องกล่าวไว้
(2) เมื่อเป็นคดีอาญาแผ่นดิน ไม่จำเป็นที่โจทก์จะต้องบรรยายว่ารู้การกระทำของจำเลยเมื่อใด
(3) เมื่อพยานโจทก์และจำเลยเบิกความตรงกันว่า เสมียนตรามีหน้าที่ทำบัญชีเงิน รับเงินและจ่ายเงินของแผนกมหาดไทย แม้นายอำเภอจะสั่งให้คนอื่นเป็นหัวหน้าแต่ก็เพื่อช่วยคอยสอดส่องควบคุมอีกชั้นหนึ่งโดยมิได้ให้จำเลยพ้นจากหน้าที่เสมียนตราไป เช่นนี้ จำเลยก็ต้องเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ฯลฯ ที่แก้ไขแล้ว
(4) บัญชีเงินต่าง ๆ ของทรงราชการกระทรวงมหาดไทย เช่น แบบ 2 บัญชีรายรับจ่ายเงินเบ็ดเตล็ด และแบบ 7 บัญชีเงินการจร มีช่องที่ผู้รับเงินจะต้องลงชื่อ เมื่อลงแล้วและรับเงินไปแล้ว ย่อมเป็นหลักฐานแห่งการระงับไปซึ่งสิทธิ ทำให้ผู้นั้นหมดสิทธิเรียกร้องเอาเงินจากทางราชการอีก ซึ่งตรงตามความหมายในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 1(9) จึงเป็นเอกสารสิทธิทางราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266
(5) ผู้ไม่มีสิทธิ แต่ได้ลงชื่อของผู้มีสิทธิในช่องบัญชีของผู้มีสิทธิรับเงินตามแบบ 2,แบบ 7 ย่อมเป็นการปลอมหนังสือ และเป็นข้อสาระสำคัญแห่งคดี.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเสมียนตราอำเภอทุจริตต่อหน้าที่ยักยอกเงินของทางราชการแผนกมหาดไทย อำเภอสุวรรณภูมิ ไป ๒๒ รายการ เป็นเงิน ๑๓๖,๗๒๘ บาท ๕๐ สตางค์ และได้ปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารทางราชการ โดยลงลายมือชื่อปลอมและลงลายพิมพ์นิ้วมือบุคคลต่าง ๆ ว่าเป็นผู้รับเงินปลอมลงในเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารทางราชการของให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๗,๑๕๑,๑๕๘.๑๖๑,๒๖๔,๒๖๕,๒๖๖ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอาญา พ.ศ.๒๕๐๒ มาตรา ๓,๗ กับขอให้คืนใช้เงินดังกล่าว ฯลฯ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลจังหวัดร้อยเอ็ดวินิจฉัยว่าจำเลยได้ยักยอกเงินในรายการที่ ๓,๕,๖,๘,๑๑,๑๕,๑๖,๑๘,๑๙,๒๐ รวมเงิน ๒๘,๘๓๐ บาท โดยจำเลยปลอมลายเซ็นชื่อของบุคคลต่าง ๆ ว่าเป็นผู้รับเงิน และปลอมลายพิมพ์นิ้วมือของบุคคลต่าง ๆ ว่าเป็นผู้รับเงิน ส่วนข้อหาตามรายการอื่นนอกจากนี้ยังชี้ขาดลงโทษจำเลยไม่ได้และพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๗,๑๕๑,๑๕๘,๑๖๑,๒๖๔,๒๖๕,๒๖๖ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๗ ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา๑๔๗,๑๕๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓,๗ ให้จำคุก ๖ ปี กับให้คืนหรือใช้เงิน ๒๘,๘๓๐ บาท
โจทก์จำเลยต่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ข้อหาของโจทก์ที่ว่าจำเลยกระทผิดตามฟ้องในรายการที่ ๑๕,๑๖,๑๙ รวมเป็นเงิน ๑๐,๑๐๐ บาทนั้น รูปคดียังไม่พอฟังว่าจำเลยได้ยักยอกเอาเงินนั้นไป จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลจังหวัด ฯว่า จำเลยผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๗,๑๖๑,๒๖๖ แพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.๒๕๐๒ มาตรา ๓ เท่านัน้น แต่ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๗ แก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.๒๕๐๒ มาตรา ๓ ซึ่งเป็นกระทงที่หนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๑ ให้จำคุก ๖ ปี และให้คืนเงิน ๑๘,๗๓๐ บาท
โจทก์ฎีกาให้ลงโทษตามที่กล่าวหาในรายการที่ ๑๕,๑๖,๑๙ และให้ใช้เงินอีก ๑๐,๑๐๐ บาทจำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องทุกรายการ
ศาลฎีกากล่าวว่า ข้อหาในรายการที่ ๑,๒,๔,๗,๙,๑๐,๑๒,๑๓,๑๔,๑๗,๒๑,๒๒ รวม ๑๒ รายการ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์มิได้ฎีกาเป็นอันยุติ แล้วศาลฎีกาได้วินิจฉัยต่อไป ดังนี้ :-
๑. ที่จำเลยค้านว่าฟ้องเคลือบคลุม ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องโจทก์กล่าวแล้วว่า จำเลยเป็นเสมียนตราอำเภอสุวรรณภูมิ ซึ่งมีหน้าที่จัดทำรักษาและรับผิดชอบเกี่ยวกับการเงิน การบัญชี และการเบิกจ่ายเงิน จำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังยักยอกเอาเงินไป มีรายการต่างๆ ถึง ๒๒ รายการ พอเข้าใจได้ว่าเงินของทางราชการที่จำเลยยักยอกนั้นอยู่ในความดูเลรับผิดชอบของจำเลย จำเลยจะรับมาจากใครที่ไหนเมื่อใดนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์ไม่จำต้องกล่าวในฟ้อง โจทก์บรรยายไว้ด้วยว่าจำเลยทุจริต ปลอมหนังสือ และยักยอกเงินซึ่งอยู่ในหน้าที่ของจำเลย ระหว่างวันใดถึงวันใด เวลาใดไว้แล้ว ทั้งระบุวันกระทำผิดแต่ละรายการไว้ด้วย พอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๕๘ แล้ว
อนึ่ง ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้มีอัตราโทษจำคุกถึงตลอดชีวิต มีอายุความตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๕ ถึง ๒๐ ปี เป็นความผิดทางอาญาแผ่นดิน มิใช่ความผิดต่อส่วนตัว คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงวันที่โจทก์รู้เรื่องการทำผิดของจำเลย
๒. ศาลฎีกาได้วินิจฉัยตามข้อหาที่ว่า จำเลยได้กระทำความผิดปลอมหนังสือและลายมือชื่อกับทุจริตต่อหน้าที่ ยักยอกเงินใน ๗ รายการ คือ รายการที่ ๓,๕,๖,๘,๑๑,๑๘,๒๐ และฟังว่าจำเลยได้ปลอมหนังสือและลายมือชื่อ กับทุจริงต่อหน้าที่ ยักยอกเงินทั้ง ๗ รายการนี้
๓. จำเลยโต้เถียงว่า จำเลยไม่ใช่เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ตามฟ้อง เพราะคำสั่งที่ ๓๐/๒๕+ ลงวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๐๐ ของนายอำเภอ ให้จำเลยเป็นผู้ช่วยของนายมี ขุณิกากรณ์ ปลัดอำภอ ไม่ปรากฎว่านายมี หรือนายอำเภอ ได้มอบหมายหน้าที่พิเศษอย่างใดแก่จำเลย นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คำสั่งนี้มีใจความว่า ให้นายมีเป็นหัวหน้าและจำเลยนี้เป็นผู้ช่วยรับผิดชอบการงาน ๑๘ หัวข้อ ซึ่งในหัวข้อที่ ๗ มีว่าให้รับผิดชอบ ” ๗ การเบิกจ่ายเงินต่าง ๆ ” ด้วย นายเถียรซึ่งเคยเป็นปลัดจังหวัดร้อยเอ็ดมาแล้ว เบิกความว่า เสมียนตรามีหน้าที่เกี่ยวกับการรับจ่ายเงิน สิ่งของ พัสดุ ครุภัณฑ์ ตลอดจนการบัญชีเกี่ยวกับเงินและสิ่งของเหล่านั้น และทั้งการจัดทำและเก็บรักษาบัญชีเหล่านั้นด้วย และนายประพงษ์พยานจำเลยเองซึ่งเคยทำหน้าที่เสมียนตราอำเภอมาแล้วก็เบิกความทำนองเดียวกัน เมื่อทั้งพยานโจทก์และยานจำเลยต่างก็เบิกความตรงกันเช่นนี้ การที่นายอำเภอมีคำสั่งให้นายมีเป็นหัวหน้า จำเลยเป็นผู้ช่วยรับผิดชอบการเบิกจ่ายเงินต่าง ๆ ด้วยนั้น ก็เพื่อให้นายมีปลัดอำเภอสอดส่องควบคุมงานบัญชีเงิน การรับเงินและจ่ายเงินของจำเลยอีกชั้นหนึ่ง ในคำสั่งหาได้มีว่า ให้จำเลยพ้นหน้าที่ดังกล่าว อันเป็นหน้าที่ของเสมียนตราโดยตรงนั้นไม่ ที่จำเลยเถียงว่าตนไม่ใช่เจ้าพนักงานนั้นฟังไม่ขึ้น
๔. จำเลยเถียงว่า บัญชีการเงินต่าง ๆ นั้น ไม่ใช่เอกสารสิทธิ ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตามมาตรา ๒๖๖ เป็นการตลาดเคลื่อนนั้น
ศาลฎีกากล่าวว่า ตามประมวลกฎหมายอาญาให้บทนิยามคำว่า “เอกสารสิทธิ” ไว้ในมาตรา ๑(๙) ว่า หมายความว่า “เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ”
ตามบัญชีอันเป็นเอกสารของทางราชการเกี่ยวกับปัญหาข้อนี้มีบัญชีแบบ ๒ คือ บัญชีรับจ่ายเงินเบ็ดเตล็ด และบัญชีแบบ ๗ คือ บัญชีเงินการจร มีช่องที่ผู้รับเงินจะต้องเซ็นชื่อหรือลงลายมือชื่อเป็นผู้รับเงินอยู่ด้วย ก็เมื่อผู้มีสิทธิได้รับเงิน ได้ลงลายมือชื่อในช่องนั้น และได้รับเงินไปแล้ว ย่อมเป็นหลักฐานแห่งการระงับไปซึ่งสิทธิ คือ ทำให้ผู้นั้นหมดสิทธิที่จะเรียกร้องเอาเงินจากทางราชการได้อีก ซึ่งตรงตามความหมายของคำว่า เอกสารสิทธิ ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑(๙) อยู่แล้ว เอกสารบัญชีตามฟ้องจึงต้องถือว่าเป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารทางราชการตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา๒๖๖
๕. จำเลยเถียงว่า การลงบัญชีด้วยรายการรับจ่ายต่าง ๆ นั้น มิใช่เป็นการปลอมหนังสือในเมื่อส่วนที่เป็นประธานได้มีการจ่ายเงินออกไปตามในสำคัญแล้วจริง ช่องบัญชีที่แสดงว่าผู้รับเงินขาดไปบ้างหรือเป็นลายมือของผู้อื่นบ้าง จึงไม่ใช่สาระสำคัญ นั้น
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเบิกความรับว่า ผู้รับเงินตามบัญชีแบบ ๒ ต้องลงลายมือชื่อในบัญชีต่อหน้าจำเลย การที่ผู้อื่นซึ่งไม่ใช่ผู้มีสิทธิได้รับเงินมาเซ็นชื่อหรือลงลายมือชื่อรับเงิน ก็ย่อมแสดงถึงความทุจริตของผู้นั้น และถ้าผู้นั้นลงลายมือชื่อของผู้มีสิทธิได้รับเงินก็ย่อมเป็นการปลอมหนังสือโดยไม่มีปัญหา และบัญชีที่กรรมการรับรองว่าได้มีการจ่ายเงินไปแล้วนั้น เพื่อจะเบิกเงินจากคลัง แต่ยังไม่ได้จ่ายเงินจริงเพราตอนท้ายนายอำเภอยังต้องเซ็นสั่งอนุญาตให้จ่ายเงินอีก การที่มีผู้ลงนามปลอมในช่องผู้รับเงินตามบัญชีแบบ ๒ และแบบ ๗ หรือลงจ่าย-แล้วไม่มีผู้ลงนามรับเงิน และเงินขาดจำนวนไปเชานนี้ จึงเป็นข้อสาระสำคัญแห่งคดี
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยกระทำผิดในรายการที่ ๑๕, รายการที่ ๑๖ และรายการที่ ๑๙ ด้วยตามฟ้อง อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๗,๑๖๑,๒๖๖ และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓ แต่ให้ลงโทษตามมาตรา ๑๔๗ ซึ่งเป็นบทหนัก กับให้จำเลยคืนหรือใช้เงินรวมทั้งหมด ๒๘,๘๓๐ บาท แก่ทางราชการแผนกมหาดไทย อำเภอสุวรรณภูมิ ด้วย
นอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นให้ยกเสีย.

Share