คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162-163/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีอาญานั้น เมื่อโจทก์ทิ้งฟ้องก็เท่ากับโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความผิดของจำเลย ศาลจึงควรพิพากษายกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 166 แต่ศาลชั้นต้นกลับสั่งจำหน่ายคดีนั้น เมื่อจำเลยไม่อุทธรณ์ผลแห่งคดีจึงคงเป็นว่า ศาลสั่งจำหน่ายคดีอยู่นั่นเองซึ่งไม่ทำให้สิทธินำคดีมาฟ้องใหม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา39ฉะนั้นโจทก์จึงฟ้องใหม่ได้ภายในอายุความ โดยไม่ถือว่าเป็นการฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ ศาลสั่งพิจารณาและพิพากษารวมกัน

สำนวนหนึ่ง โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจร่วมกันใช้อำนาจด้วยกำลังกายฉุดคร่านางสาววิเชียรพาไปเพื่อการอนาจาร ขอให้ลงโทษ

อีกสำนวนหนึ่ง โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกบังอาจร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายข่มขืนกระทำชำเรานางสาววิเชียร ขอให้ลงโทษ

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 284, 276 และ 83 แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 276 ซึ่งเป็นกระทงหนัก ให้จำคุกจำเลยคนละ 3 ปี

จำเลยอุทธรณ์ และอ้างว่าในเรื่องข่มขืนกระทำชำเรา เจ้าทุกข์เคยฟ้องจำเลยกับพวกต่อศาลแล้ว โจทก์จึงฟ้องซ้ำอีกไม่ได้

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า คดีอาญาแดงที่ 95/2504 ของศาลจังหวัดสิงห์บุรีโจทก์คดีนั้นทิ้งฟ้อง ศาลจึงสั่งจำหน่ายคดีนั้นไม่ถูก เพราะเมื่อโจทก์ทิ้งฟ้องก็เท่ากับโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความผิดของจำเลย ศาลชั้นต้นจึงควรพิพากษายกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 166 แต่เมื่อศาลชั้นต้นมิได้พิพากษายกฟ้อง กลับสั่งจำหน่ายคดีเช่นนี้ ในทางแพ่ง เรื่องจำหน่ายคดี โจทก์ย่อมฟ้องใหม่ได้ภายในอายุความ อย่างไรก็ดี ที่ศาลชั้นต้นกระทำไม่ถูกในคดีก่อนไป จำเลยก็ไม่ได้อุทธรณ์คัดค้าน ผลแห่งคดีนั้นจึงคงเป็นว่าศาลสั่งจำหน่ายคดีอยู่นั่นเอง ฉะนั้น ในชั้นนี้ศาลฎีกาจึงไม่อาจจะทำอะไรกับคำสั่งจำหน่ายคดีที่ถึงที่สุดไปแล้วนั้นอีกได้ เมื่อกรณีเป็นดังนี้ ปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาจำเลยที่ว่าโจทก์คดีนี้ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องได้อีกเพราะเป็นการฟ้องซ้ำนั้นเห็นว่า การที่ศาลสั่งจำหน่ายคดีอาญาเพราะโจทก์ทิ้งฟ้องนั้นไม่ทำให้สิทธินำคดีมาฟ้องใหม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 แต่ประการใด เพราะการจำหน่ายคดีไม่ใช่การถอนคำร้องทุกข์ ถอนฟ้องหรือยอมความในคดีความผิดต่อส่วนตัว ทั้งการที่ศาลสั่งจำหน่ายคดีก็หาใช่คดีนั้นได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องนั้นไม่ฉะนั้น แม้ผู้เสียหายจะได้ฟ้องทำนองเดียวกันก่อนคดีนี้ครั้งหนึ่งแล้ว แต่เมื่อคดีที่ฝ่ายผู้เสียหายเป็นโจทก์มิได้เสร็จไปตามนัยมาตรา 39 สิทธินำคดีมาฟ้องใหม่ย่อมไม่ระงับไป กรณีจึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำดังฎีกาของจำเลย คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในข้อนี้ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share