คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1041/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่เจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมจำเลยโดยไม่มีหมายจับและกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 78(1) ถึง (4)และวรรคสุดท้ายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญานั้น เป็นการจับกุมโดยไม่มีอำนาจ แม้จำเลยต่อสู้ขัดขวางการจับกุมก็ไม่มีความผิด

ย่อยาว

เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยเป็น 2 สำนวน สำนวนที่ 1 โจทก์ฟ้องว่าวันที่ 21 เมษายน 2504 เวลากลางวัน จำเลยร่วมกันทำสุรา มีน้ำสุราแช่ขอให้ลงโทษ

จำเลยทั้งสองปฏิเสธ

สำนวนที่ 2 โจทก์ฟ้องว่า ตามวันเวลาและสถานที่ดังกล่าวในสำนวนที่ 1 สิบตำรวจตรีสำรวม ประเสริฐกับเจ้าพนักงานตำรวจอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าพนักงานได้เข้าจับกุมจำเลยทั้งสองในข้อหาร่วมกันทำสุรา มีน้ำสุรา จำเลยไม่ยอมให้จับกุม โดยจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนแก๊ปยกขึ้นจะตี ใช้กำลังกายชกต่อยทำร้ายร่างกายสิบตำรวจตรีสำรวมไม่ถึงบาดเจ็บ จำเลยที่ 2 ถือขวานจะทำร้ายสิบตำรวจตรีสำรวม ๆชักปืนยิงขู่ขึ้นฟ้า 1 นัด จำเลยทั้งสองก็หนีไป เป็นการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติตามหน้าที่ ขอให้ลงโทษ

จำเลยทั้งสองปฏิเสธว่า ความจริงสิบตำรวจตรีสำรวมกับพวกใช้ปืนของจำเลยที่ 1 ตีทำร้ายจำเลยที่ 1 โดยมิได้มีเหตุสมควร และเพื่อปกปิดความผิด สิบตำรวจตรีสำรวมกับพวกจึงสมคบกันสร้างหลักฐานเท็จขึ้นเพื่อจะเอาผิดแก่จำเลยโดยไม่มีมูล

ศาลชั้นต้นพิจารณารวมกันแล้ววินิจฉัยว่า ข้อหาสำนวนที่ 1 พยานโจทก์มีข้อน่าระแวงไม่พอลงโทษจำเลยได้ สำนวนที่ 2 เฉพาะจำเลยที่ 1คดีฟังได้ว่าได้กระทำผิดดังข้อกล่าวหาของโจทก์ พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138, 140 วรรคแรก ให้ลงโทษตามมาตรา 140 วรรคแรกซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 1 เดือน ให้ยกฟ้องข้อหาจำเลยที่ 1, 2 ทำสุรา มีน้ำสุรา กับข้อหาจำเลยที่ 2 ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยได้ทราบแล้วว่า สิบตำรวจตรีสำรวม พลตำรวจมัน เป็นเจ้าพนักงานตำรวจ และจำเลยที่ 1 ได้ต่อสู้ขัดขวางไม่ยอมให้จับจริง แต่เห็นว่าการที่สิบตำรวจตรีสำรวมไปทำการจับกุมสุรารายนี้ ไม่ปรากฏว่าสิบตำรวจตรีสำรวมกับพวกมีหมายจับ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 ซึ่งบัญญัติว่า พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับไม่ได้ เว้นแต่กรณีจะเข้าข้อยกเว้นตามข้อ (1) ถึงข้อ (4) และวรรคสุดท้าย กรณีจึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 78 ข้อ (3) เพราะคดีฟังได้แล้วว่า ของกลางไม่ใช่ของจำเลย จำเลยที่ 1 ไม่ได้หลบหนีมาจากที่ที่ว่าได้พบของกลางที่ที่พบจำเลยก็ห่างกับที่ที่พบของกลางเกือบครึ่งกิโลเมตร และจำเลยไม่ได้กระทำผิด จึงยังไม่พอจะให้ถือว่าเป็นเหตุอันสมควรที่จะให้สงสัยว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดมาแล้วจะหลบหนี และเรื่องนี้การที่สิบตำรวจตรีสำรวมกับพวกไปทำการจับกุมก็ไม่ได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบเพื่อขอหมายจับหรือหมายค้นก่อน ซึ่งควรจะมีโอกาสทำได้แต่ไม่ทำ ฉะนั้น การที่ไปจับโดยไม่มีหมายจับและกรณีไม่เข้าตามข้อยกเว้น สิบตำรวจตรีสำรวมกับพวกจึงไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะทำการจับกุมจำเลยได้ จำเลยที่ 1 ทำการต่อสู้ขัดขวางจึงไม่เป็นความผิด พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์ปล่อยจำเลยที่ 1 ไป

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า พยานโจทก์ที่นำเข้าสืบคงได้ความเพียงว่าวันเกิดเหตุเวลาเที่ยงวัน มีสายลับแจ้งสิบตำรวจตรีสำรวม ที่บ้านพักในตลาดระยองว่า จำเลยทั้งสองร่วมต้นกลั่นสุราเถื่อนอยู่ที่ไร่มันของจำเลยที่ 2 สิบตำรวจตรีสำรวมจึงชวนพวกตำรวจไปจับกุมโดยไม่ได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ เมื่อไปถึงขนำจำเลยที่ 2 เป็นเวลาประมาณ 13 นาฬิกา ไม่พบผู้ใด เดินต่อไปทางทิศเหนือประมาณ 2 เส้นมีชายสองคนเดินอยู่ชายป่าริมลำธารห่างประมาณ 3 เส้น เมื่อเข้าไปห่างอีกประมาณ 2 เส้น ชายสองคนนั้นหันมามองแล้วพากันวิ่งหนีเข้าป่าไป สิบตำรวจตรีสำรวมไม่ได้ไล่ตามเพราะยังไม่รู้ว่าชายทั้งสองทำผิดอะไร ต่อจากนั้นสิบตำรวจตรีสำรวมกับพวกพากันเดินเข้าไปในที่ที่เห็นชายทั้งสองในครั้งแรก พบเตาต้มกลั่นสุรา ไหซองบรรจุสุราแช่เต็ม 9 ไห สิบตำรวจตรีสำรวมกับพวกติดตามชายทั้งสองไปประมาณ 15 นาทีเห็นชายทั้งสองเดินเข้าไปในขนำห่างจากที่พบเตาต้มกลั่นสุราประมาณครึ่งกิโลเมตร สิบตำรวจตรีสำรวมถามและทราบชื่อชายทั้งสองว่าเป็นจำเลยทั้งสองแล้ว ได้แจ้งข้อหาว่าร่วมกันต้มกลั่นสุราและหนีไปขอทำการจับกุม จำเลยทั้งสองปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิด ไม่ยอมให้จับสิบตำรวจตรีสำรวมเข้าจับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ยกปืนแก๊ปขึ้นจะตีแต่พลตำรวจมันแย่งปืนไว้ สิบตำรวจตรีสำรวมเข้าช่วย จำเลยที่ 1 จึงชกถูกแขนสิบตำรวจตรีสำรวม สิบตำรวจตรีสำรวมจับจำเลยที่ 1 ไว้จำเลยที่ 2 ถือขวานเดินเข้ามา พอดีจำเลยที่ 1 สบัดหลุด สิบตำรวจตรีสำรวมชักปืนออกยิงขู่ 1 นัด จำเลยทั้งสองพากันหนีไป สิบตำรวจตรีสำรวมกับพวกกลับไปยังที่ต้มกลั่นสุรา ยึดของกลางมา เมื่อพยานโจทก์ที่นำเข้าสืบได้ความเพียงดังกล่าว ศาลฎีกาจึงเห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์ยกเหตุผลและบทกฎหมายดังกล่าวแล้วพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 นั้นเป็นการวินิจฉัยถูกต้องชอบด้วยรูปคดีแล้ว

เรื่องออกหมายจับนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า วันเกิดเหตุขณะมีสายลับแจ้งต่อสิบตำรวจตรีสำรวมที่บ้านพักตลาดระยอง ซึ่งน่าจะอยู่ไม่ไกลจากสถานีตำรวจจึงควรไปรายงานให้ผู้มีอำนาจออกหมายจับหมายค้นทราบและขอให้ออกหมายค้นให้ตามระเบียบ แต่ก็หาได้ปฏิบัติไม่ เพราะถ้าปฏิบัติแล้วก็น่าจะไม่เสียเวลามากนักข้ออ้างของโจทก์จึงฟังไม่ขึ้นพิพากษายืน

Share