คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3316/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องยื่นคำร้องเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ในชั้นบังคับคดี โดยอาศัยเหตุที่ผู้ร้องมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งเนื่องจากผู้ร้องเป็นผู้ซื้อหรือรับโอนสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษามาจากการขายทอดตลาดซึ่งดำเนินการโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ในคดีล้มละลาย กรณีมิใช่เป็นเรื่องที่ผู้ร้องพิพาทกับจำเลยทั้งสองในมูลหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันที่โจทก์กับจำเลยทั้งสองพิพาทกันและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไปแล้ว ทั้งการที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความในชั้นบังคับคดีโดยอาศัยเหตุดังกล่าวก็มิได้เรียกร้องสิ่งใดขึ้นใหม่หรือเกินไปกว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีอยู่ตามคำพิพากษา ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ไว้แล้วในชั้นที่โจทก์ยื่นฟ้องคดี จึงไม่มีเหตุให้ผู้ร้องจะต้องเสียค่าขึ้นศาลอีก

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 510,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาโจทก์ขอให้บังคับคดี ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแล้ว ต่อมาโจทก์ถูกศาลล้มละลายกลาง สั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ในคดีหมายเลขแดงที่ 396/2544
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ในชั้นบังคับคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) อ้างว่า ผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง เนื่องจากผู้ร้องเป็นผู้ซื้อและได้รับโอนสิทธิเรียกร้องของโจทก์รวมทั้งสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีต่อจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาในคดีนี้มาจากการขายซึ่งดำเนินการโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ในคดีล้มละลาย จำเป็นที่ผู้ร้องต้องร้องสอดเข้ามาในคดี เพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องที่มีอยู่
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ยื่นคำแถลงรับข้อเท็จจริงตามคำร้องและไม่คัดค้านคำร้องขอของผู้ร้อง
วันนัดไต่สวนคำร้องขอ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นโจทก์แทนโดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) มิใช่อาศัยอำนาจตามกฎหมายพิเศษที่อนุญาตให้มีการสวมสิทธิเป็นโจทก์แทนได้ การที่ผู้ร้องเสียค่าคำร้องขอมาเพียง 20 บาท จึงไม่ถูกต้อง เนื่องจากคำร้องขอตามบทกฎหมายดังกล่าวนั้นเป็นคำฟ้อง และถือว่าเป็นคำร้องขอที่มีทุนทรัพย์เท่ากับหนี้ตามคำพิพากษา ซึ่งผู้ร้องเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชำระให้แก่ผู้ร้องแทนการชำระให้แก่โจทก์ จึงให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ดังกล่าวภายใน 30 วัน ผู้ร้องจึงชำระค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ในอัตราร้อยละ 2.5 ของจำนวนหนี้ตามคำพิพากษา เป็นเงิน 37,510 บาท และได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นไว้ ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นโจทก์ได้ตามร้องขอ
ผู้ร้องอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องเพียงว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์เท่ากับจำนวนหนี้ตามคำพิพากษานั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ในชั้นบังคับคดี ก็โดยอาศัยเหตุที่ผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง เนื่องจากผู้ร้องเป็นผู้ซื้อและได้รับโอนสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษามาจากการขายซึ่งดำเนินการโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ในคดีล้มละลาย กรณีมิใช่เป็นเรื่องที่ผู้ร้องพิพาทกับจำเลยทั้งสองในมูลหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกัน ซึ่งเป็นมูลหนี้ที่โจทก์กับจำเลยทั้งสองพิพาทกันและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไปแล้ว ทั้งการที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความในชั้นบังคับคดี เพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องที่มีอยู่โดยอาศัยเหตุดังกล่าว มิได้เรียกร้องสิ่งใดขึ้นใหม่หรือเกินไปกว่าสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีอยู่ตามคำพิพากษา ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ไว้แล้วในชั้นที่โจทก์ยื่นฟ้องคดี จึงไม่มีเหตุที่ผู้ร้องจะต้องเสียค่าขึ้นศาลอีก การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์จึงไม่ถูกต้อง และเมื่อผู้ร้องได้ชำระค่าขึ้นศาลตามคำสั่งของศาลชั้นต้นมาแล้ว จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลจำนวนดังกล่าวแก่ผู้ร้อง อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ผู้ร้องชำระค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์และให้คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้น 37,510 บาท แก่ผู้ร้อง

Share