แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ของจำเลย และให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระภายใน 15 วัน แต่จำเลยไม่ชำระภายในกำหนด กลับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาการวางเงินศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องและไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย ดังนี้ ทางแก้ของจำเลยคือจำเลยต้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ และนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาล และนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 234 เมื่อจำเลยไม่ดำเนินการดังกล่าวจนพ้นกำหนดระยะเวลา คดีย่อมถึงที่สุดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 147 วรรคสอง จึงไม่อาจยื่นคำร้องขอวางเงินค่าธรรมเนียมศาลได้อีก
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์จำเลยยื่นอุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว เห็นว่า จำเลยมิได้ยากจนจริง ยังมีเงินพอเสียค่าธรรมเนียมศาล จึงให้ยกคำร้อง และให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายใน 15 วัน วันที่ 9 สิงหาคม 2545 จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระต่อศาลบางส่วนและยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลานำเงินค่าธรรมเนียมศาลส่วนที่เหลือมาวางศาลภายในวันที่ 10 ตุลาคม 2545 ศาลชั้นต้นอนุญาต แต่จำเลยไม่ได้นำค่าธรรมเนียมศาลส่วนที่เหลือมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด จนกระทั่งพ้นกำหนดระยะเวลาตามที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงิน จำเลยกลับยื่นคำร้องขออนุญาตวางเงินค่าธรรมเนียมส่วนที่เหลือ โดยอ้างเหตุผลว่า เข้าใจว่าครบกำหนดวางเงินค่าธรรมเนียมศาลในวันที่ 20 ตุลาคม 2545
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เนื่องจากพ้นกำหนดระยะเวลาที่ศาลอนุญาตให้จำเลยวางเงินค่าธรรมเนียมแล้ว และศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยแล้ว ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2544 จำเลยยื่นอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ วันที่ 29 กรกฎาคม 2545 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ของจำเลย ให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระภายใน 15 วัน วันที่ 9 สิงหาคม 2545 จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระบางส่วน และยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาล ส่วนที่เหลือในวันที่ 10 ตุลาคม 2545 ศาลชั้นต้นอนุญาต ปรากฏว่าจำเลยไม่นำเงินค่าธรรมเนียมศาลส่วนที่เหลือมาวางภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาออกไป วันที่ 14 ตุลาคม 2545 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยผู้อุทธรณ์ไม่นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายในกำหนดตามคำสั่งศาล จึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย ในวันเดียวกันจำเลยยื่นคำร้องว่า ที่จำเลยไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์มาวางภายในกำหนดเวลานั้นด้วยความเข้าใจผิดของจำเลยว่าจะครบกำหนดวางเงินค่าธรรมเนียมศาลในวันที่ 20 ตุลาคม 2545 และจำเลยได้เตรียมค่าธรรมเนียมศาลส่วนที่เหลือมาวางแล้วมีความประสงค์จะวางเงินค่าธรรมเนียมศาลส่วนที่เหลือ ขอให้ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าเนื่องจากพ้นกำหนดระยะเวลาที่ศาลอนุญาตให้จำเลยวางเงินค่าธรรมเนียมแล้ว และศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยแล้ว ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน จำเลยจึงฎีกาเป็นคดีนี้ เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาของจำเลยไปแล้ว ทางแก้ของจำเลยคือจำเลยต้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 6 และนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาล และนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามที่บทบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 เมื่อจำเลยไม่ดำเนินการดังกล่าวจนพ้นกำหนดระยะเวลา คดีย่อมถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสอง จำเลยจึงไม่อาจยื่นคำร้องขอวางเงินค่าธรรมเนียมศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ได้อีก ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์และรับฎีกาของจำเลย และศาลอุทธรณ์ภาค 6 รับวินิจฉัยเรื่องการขอวางเงินค่าธรรมเนียมให้จึงเป็นการไม่ชอบ”
พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 และยกฎีกาของจำเลย ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแก่จำเลยค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ