คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1473/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยได้รับเงินไปเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์2532 ต่อมาวันเวลาใดไม่ปรากฏชัดหลังจากที่จำเลยได้รับเงินไปแล้วจำเลยได้เบียดบังเอาเงินนั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริตกล่าวคือจำเลยได้รับปากว่าจะคืนเงินที่เหลือให้แก่โจทก์ โจทก์ทวงถามหลายครั้ง แต่ต่อมาเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2532 โจทก์ทวงถามอีกครั้ง จำเลยปฏิเสธไม่ยอมคืนให้ โจทก์จึงทราบว่าจำเลยได้ยักยอกเงินของโจทก์ ถือว่าฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงจุดเริ่มต้นแห่งการกระทำความผิดของจำเลยคือวันที่จำเลยรับเงินของโจทก์ไว้ และจุดที่โจทก์ทราบถึงการกระทำความผิดของจำเลยคือวันที่จำเลยปฏิเสธการคืนเงินให้โจทก์ จึงเป็นฟ้องที่ได้บรรยายถึงรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ แล้ว ย่อมเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2532 จำเลยซึ่งเป็นผู้รับจำนองที่ดินของโจทก์ ได้รับเงินค่าขายที่ดินจากโจทก์อ้างว่าเพื่อจะนำไปคิดหักชำระหนี้จำนองและดอกเบี้ยที่โจทก์ค้างชำระแล้วจะคืนเงินส่วนที่เหลือแก่โจทก์ ต่อมาวันเวลาใดไม่ปรากฏชัดหลังจากจำเลยได้รับเงินจากโจทก์ไว้ครอบครองแล้วได้เบียดบังเอาเงินนั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต กล่าวคือ เมื่อวันที่ 6พฤศจิกายน 2532 โจทก์ได้ทวงถามแต่จำเลยปฏิเสธไม่คืนเงินโจทก์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ให้จำคุก 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าฟ้องโจทก์สมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ไม่อาจทราบได้ว่าความผิดเกิดขึ้นเมื่อใดฟ้องโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) นั้น เห็นว่า ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยได้รับเงินไปเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2532 ต่อมาวันเวลาใดไม่ปรากฏชัดหลังจากที่จำเลยได้รับเงินไปแล้วจำเลยได้เบียดบังเอาเงินนั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริตกล่าวคือ จำเลยได้รับปากว่าจะคืนเงินที่เหลือให้แก่โจทก์ โจทก์ทวงถามหลายครั้งแต่ต่อมาเมื่อวันที่6 พฤศจิกายน 2532 โจทก์ทวงถามอีกครั้ง จำเลยปฏิเสธไม่ยอมคืนให้โจทก์จึงทราบว่าจำเลยได้ยักยอกเงินของโจทก์ ฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงจุดเริ่มต้นแห่งการกระทำความผิดของจำเลย กล่าวคือ วันที่จำเลยรับเงินของโจทก์ไว้ และจุดที่โจทก์ทราบถึงการกระทำความผิดของจำเลยคือวันที่จำเลยปฏิเสธการคืนเงินให้โจทก์ การที่จำเลยจะมีเจตนาทุจริตยักยอกเงินของโจทก์เมื่อใด เป็นเรื่องเจตนาภายในของจำเลยเอง ซึ่งอาจเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มรับเงินของโจทก์ไว้ จนถึงวันที่จำเลยปฏิเสธคืนเงินวันใดวันหนึ่งก็ได้ ฟ้องโจทก์จึงพอที่จะเข้าใจได้ว่าระหว่างวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2532 ที่จำเลยรับเงินของโจทก์ไปแล้ว จนถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2532 ที่จำเลยปฏิเสธไม่ยอมคืนเงินให้โจทก์ วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยได้เจตนาทุจริตยักยอกเงินของโจทก์ จึงเป็นฟ้องที่ได้บรรยายถึงรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ แล้วย่อมเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share