แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลย จำเลยอุทธรณ์ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์การที่ศาลอุทธรณ์อนุญาตแล้วพิจารณาพิพากษาคดีต่อไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 245 จึงชอบแล้ว และเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีย่อมถึงที่สุด จำเลยจะฎีกาคัดค้านคำพิพากษาดังกล่าวไม่ได้ เมื่อจำเลยเห็นว่า ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดไม่ถูกต้อง ก็ชอบที่จะไปร้องขอต่อศาลชั้นต้นให้มีคำสั่งแก้ไขหมายนั้นเสียก่อน เพราะหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดเป็นหมายอาญามิใช่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 และ 216
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,289, 80, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานายเอิบ อินทร์เนื่อง บิดาของนายวรรณกรอินทร์เนื่อง ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4) ประกอบด้วยมาตรา 80, 83 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนให้ประหารชีวิตฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้จำคุกตลอดชีวิต คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา จึงไม่มีเหตุที่จะลดโทษให้จำเลย เมื่อลงโทษประหารชีวิตจำเลยแล้ว จึงไม่นำโทษจำคุกมารวม คงให้ประหารชีวิตจำเลยสถานเดียว คำขอโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ แต่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 16 มิถุนายน 2535 ขอถอนอุทธรณ์ โดยขอให้คดีถึงที่สุดก่อนวันที่ 12 สิงหาคม 2535 เพื่อจะได้รับพระราชทานอภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ พ.ศ. 2535
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งว่าอนุญาตให้จำเลยถอนอุทธรณ์แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็ยังคงต้องพิจารณาคดีต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 และพิพากษายืน
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2535 และออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดให้คดีถึงที่สุดในวันนั้นเอง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 245 วรรคสอง ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนคดีที่พิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตไปยังศาลอุทธรณ์เมื่อไม่มีการอุทธรณ์คำพิพากษานั้นและคำพิพากษาเช่นว่านี้จะยังไม่ถึงที่สุดเว้นแต่ศาลอุทธรณ์จะได้พิพากษายืน ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3มีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยถอนอุทธรณ์และพิจารณาพิพากษาคดีนี้ต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 จึงชอบแล้วและเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน คดีย่อมถึงที่สุด จำเลยจะฎีกาคัดค้านว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดไม่ได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาคัดค้านว่าศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดไม่ถูกต้อง ขอให้แก้หมายเป็นว่าถึงที่สุดวันที่ 16 มิถุนายน 2535 อันเป็นวันที่จำเลยขอถอนอุทธรณ์นั้น เห็นว่า หมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดเป็นหมายอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(9) มิใช่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 และ 216 หากจำเลยเห็นว่าการออกหมายไม่ถูกต้อง ก็ต้องไปร้องขอให้ศาลชั้นต้นแก้ไขหมายนั้นเพื่อให้ศาลชั้นต้นพิจารณามีคำสั่งเสียก่อน ฎีกาของจำเลยทั้งหมดจึงเป็นฎีกาที่ต้องห้ามศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของจำเลย