คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 968/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อไม่ปรากฏว่าสามีภริยาได้ออกเงินสร้างบ้านอันเป็นสินเดิมเป็นส่วนสัดคนละเท่าใด จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่ามีส่วนเป็นเจ้าของบ้านเท่าๆ กัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยสมรสกัน ต่อมาในปี 2512 โจทก์ถูกจำเลยทำร้ายและขับไล่ออกจากบ้าน ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ และให้บุตรอยู่ในความปกครองของโจทก์ ให้แบ่งทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องอันดับ 1,2 และ 3 คนละครึ่ง ทรัพย์อันดับ 4 ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์25,000 บาท ทรัพย์อันดับ 5 ให้คืนแก่โจทก์ ถ้าคืนไม่ได้ ให้ใช้ราคา

จำเลยให้การว่า จำเลยยอมหย่าขาดกับโจทก์ ทรัพย์อันดับ 1,2 จำเลยซื้อมาและปลูกสร้างก่อนสมรส

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน ให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ถ้าจำเลยไม่ไป ให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้แบ่งทรัพย์อันดับ 1,2 ให้โจทก์จำเลยคนละส่วนเท่ากัน ฯลฯ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

คงมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเฉพาะทรัพย์อันดับ 1,2 คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 12082 และบ้านเลขที่ 309 บนที่ดินแปลงนี้ตามลำดับ

ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอุทธรณ์ฟังว่าทรัพย์อันดับ 1 เป็นสินสมรสและทรัพย์อันดับ 2 เป็นสินเดิมของทั้งสองฝ่าย ชอบแล้ว อนึ่งไม่ปรากฏว่า โจทก์จำเลยออกเงินสร้างบ้านกันเป็นส่วนสัดคนละเท่าใด จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่ามีส่วนเท่ากัน คือ โจทก์จำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 309 อันเป็นสินเดิมเท่า ๆ กัน ต้องแบ่งให้คนละกึ่งเช่นเดียวกับสินสมรสดังข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share