แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในขณะที่คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าสัญญาภาระจำยอมระหว่างโจทก์กับจำเลยได้เลิกกันไปแล้วไม่อาจใช้บังคับกันได้อีกต่อไป แต่ข้อเท็จจริงนี้หาได้ยุติไม่ ศาลอุทธรณ์อาจวินิจฉัยว่าสัญญาภาระจำยอมยังคงบังคับได้ และพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีก็ได้ ทั้งปรากฏตามคำฟ้อง คำให้การ คำร้อง และคำร้องคัดค้านว่า ตามคำฟ้องและโอกาสที่โจทก์ยื่นคำร้องนั้นมีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษามาใช้ครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 255(1) และ (2) แล้วศาลอุทธรณ์ชอบที่จะมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องของโจทก์ ให้ศาลชั้นต้นมีหนังสือแจ้งสำนักงานที่ดินที่ที่พิพาทตั้งอยู่ห้ามจำเลยจดทะเบียนสิทธิหรือทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่พิพาทเฉพาะส่วนตามสัญญาภารจำยอมไว้ในระหว่างอุทธรณ์ได้โดยไม่จำเป็นต้องไต่สวนพยานหลักฐานของคู่ความก่อน
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาภาระจำยอมระหว่างโจทก์กับจำเลยได้เลิกกันไปแล้ว ไม่อาจใช้บังคับกันได้อีกต่อไปจึงพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวโดยขอให้ศาลมีคำสั่งอายัดที่ดินของจำเลยตามโฉนดเลขที่ 16551 ตำบลวัดชลอ(บางกรวยฝั่งใต้) อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า เห็นว่ามีเหตุสมควร ให้ศาลชั้นต้นมีหนังสือแจ้งสำนักงานที่ดินแห่งท้องที่ที่ดินตั้งอยู่ ห้ามจำเลยจดทะเบียนสิทธิหรือทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 16551 ตำบลวัดชลอ(บางกรวยฝั่งใต้) อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี เฉพาะส่วนเนื้อที่พิพาทตามสัญญาภารจำยอมเนื้อที่ 166 ตารางวา ไว้ในระหว่างอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์เพิกถอนคำสั่งที่ให้อายัดที่ดินดังกล่าว อ้างว่า ศาลอุทธรณ์ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะสั่งและศาลอุทธรณ์สั่งโดยไม่ทำการไต่สวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 255 เสียก่อน ขอให้ศาลอุทธรณ์เพิกถอนคำสั่งของศาลอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ตามคำร้องของจำเลยไม่ปรากฏว่า วิธีการที่ศาลอุทธรณ์กำหนดไปนั้น ไม่มีเหตุเพียงพอในการสั่งให้คุ้มครองชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์แต่อย่างใด จึงไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์จะเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ให้ยกคำร้อง จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่าไม่มีเหตุผลเพียงพอที่ศาลอุทธรณ์จะสั่งให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ เพราะข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตั้งแต่ศาลชั้นต้นแล้วว่าสัญญาภารจำยอมไม่อาจใช้บังคับกันต่อไปได้อีก และที่ฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด ไม่มีเหตุที่จะได้รับความคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ เพราะศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องการขอคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์จึงเป็นการรบกวนกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยมิชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่าการร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาก็เพื่อที่จะได้รับความคุ้มครองไว้จนกว่าศาลอุทธรณ์จะได้มีคำพิพากษาหรือเพื่อความสะดวกในการที่จะบังคับคดีตามคำพิพากษาจำเลยอ้างว่าสัญญาภารจำยอมไม่อาจใช้บังคับกันได้ต่อไปอีก ข้อเท็จจริงนี้หาได้ยุติไม่ศาลอุทธรณ์อาจวินิจฉัยว่าสัญญาภารจำยอมยังคงบังคับได้และพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีก็ได้ จำเลยอ้างว่าโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายก็ยังโต้แย้งกันอยู่ว่าถ้าหากจำเลยโอนที่ดินของจำเลยให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ โจทก์ก็จะไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการพิพาทกัน จำเลยไม่ได้ให้ข้อเท็จจริงหรือเหตุผลพอที่จะให้ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจว่าจะเพิกถอนคำสั่งที่ให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างการพิจารณาหรือไม่ คำสั่งของศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์มีคำสั่งห้ามจำเลยจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมใด ๆเกี่ยวกับที่ดินพิพาทตามคำร้องขอของโจทก์โดยมิได้ไต่สวนก่อนจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องคำให้การ คำร้องและคำร้องคัดค้านข้อเท็จจริงรับกันได้ความว่า ตามคำฟ้องและโอกาสที่โจทก์ยื่นคำร้องขอนั้น มีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษามาใช้ ซึ่งได้ความครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 255(1) และ (2) แล้วศาลอุทธรณ์ชอบที่จะมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องขอของโจทก์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องไต่สวนพยานหลักฐานของคู่ความก่อนแต่อย่างใด”
พิพากษายืน