คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้อายัดที่ดินของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาการร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาก็เพื่อจะได้ความคุ้มครองไว้จนกว่าศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษา หรือเพื่อสะดวกในการที่จะบังคับคดีตามคำพิพากษา แม้ศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยว่าสัญญาภาระจำยอมระหว่างโจทก์กับจำเลยได้เลิกไปแล้วและพิพากษายกฟ้องโจทก์ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงนี้หาได้ยุติไม่ เพราะศาลอุทธรณ์อาจวินิจฉัยว่าสัญญาภาระจำยอมยังบังคับได้ และพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีก็ได้ ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นสมควรก็ชอบที่จะสั่งอายัดที่ดินของจำเลยไว้ชั่วคราวได้ เมื่อตามคำฟ้อง คำให้การ คำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวและคำคัดค้านข้อเท็จจริงรับกันได้ความว่า ตามคำฟ้องและโอกาสที่โจทก์ยื่นคำร้องขอนั้น มีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษามาใช้ ซึ่งได้ความครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 255(1) และ (2) แล้วศาลอุทธรณ์ชอบที่จะมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องขอของโจทก์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องไต่สวนพยานหลักฐานของคู่ความก่อนแต่อย่างใด

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาภาระจำยอมระหว่างโจทก์กับจำเลยได้เลิกกันไปแล้ว ไม่อาจใช้บังคับกันได้อีกต่อไปจึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวขอให้ศาลมีคำสั่งอายัดที่ดินของจำเลยตามโฉนดเลขที่ 16551 ตำบลวัดชลอ (บางกรวยฝั่งใต้) อำเภอบางกรวยจังหวัดนนทบุรี
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า เห็นว่ามีเหตุสมควร ให้ศาลชั้นต้นมีหนังสือแจ้งสำนักงานที่ดินแห่งท้องที่ที่ดินตั้งอยู่ ห้ามจำเลยจดทะเบียนสิทธิหรือนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 166551ตำบลวัดชลอ (บางกรวยฝั่งใต้) อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรีเฉพาะส่วนเนื้อที่ตามสัญญาภาระจำยอมเนื้อที่ 166 ตารางวา ไว้ในระหว่างอุทธรณ์
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์เพิกถอนคำสั่งที่ให้อายัดที่ดินดังกล่าว อ้างว่าศาลอุทธรณ์ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะสั่งและศาลอุทธรณ์สั่งโดยไม่ทำการไต่สวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 255 เสียก่อน ขอให้ศาลอุทธรณ์เพิกถอนคำสั่งของศาลอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2533
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่ศาลอุทธรณ์จะสั่งให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ เพราะข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตั้งแต่ศาลชั้นต้นแล้วว่าสัญญาภาระจำยอมไม่อาจใช้บังคับกันต่อไปได้อีก และที่ฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด ไม่มีเหตุที่จะได้รับความคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ เพราะศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง การขอคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์จึงเป็นการรบกวนกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยมิชอบด้วยกฎหมาย นั้น เห็นว่า การร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาก็เพื่อที่จะได้รับความคุ้มครองไว้จนกว่าศาลอุทธรณ์จะได้มีคำพิพากษาหรือเพื่อความสะดวกในการที่จะบังคับคดีตามคำพิพากษา จำเลยอ้างว่าสัญญาภาระจำยอมไม่อาจใช้บังคับกันได้ต่อไปอีก ข้อเท็จจริงนี้หาได้ยุติไม่ ศาลอุทธรณ์อาจวินิจฉัยว่า สัญญาภารจำยอมยังคงบังคับได้และพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีก็ได้ จำเลยอ้างว่าโจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ก็ยังโต้แย้งกันอยู่ว่าถ้าหากจำเลยโอนที่ดินของจำเลยให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้วโจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ โจทก์ก็จะไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการพิพาทกัน จำเลยไม่ได้ให้ข้อเท็จจริงหรือเหตุผลพอที่จะให้ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจว่าจะเพิกถอนคำสั่งที่ให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างการพิจารณาหรือไม่ คำสั่งของศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งห้ามจำเลยจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทตามคำร้องขอของโจทก์โดยมิได้ไต่สวนก่อนจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นเห็นว่า ตามคำฟ้อง คำให้การ คำร้องและคำร้องคัดค้านข้อเท็จจริงรับกันได้ความว่า ตามคำฟ้องและโอกาสที่โจทก์ยื่นคำร้องขอนั้นมีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษามาใช้ ซึ่งได้ความครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 255 (1) และ (2) แล้ว ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องขอของโจทก์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องไต่สวนพยานหลักฐานของคู่ความแต่อย่างใด
พิพากษายืน

Share