คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3427/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ตกลงเช่าห้องอาหารของจำเลยเป็นเวลา 1 ปี แบ่งชำระค่าเช่าเป็น 4 งวด โจทก์ได้ชำระค่าเช่างวดแรกให้จำเลยครบถ้วนแล้วคู่กรณีโต้เถียงกันว่า เหตุที่ไม่อาจทำสัญญาเป็นหนังสือกันได้เพราะอีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติผิดข้อตกลง ดังนี้ ฟังได้ว่าโจทก์จำเลยได้มีนิติสัมพันธ์กันแล้ว ตามข้อตกลงในเรื่องการเช่า แต่เหตุที่ยังไม่อาจทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรได้เพราะยังคงโต้เถียงกัน จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลต้องฟังพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยต่อไป หาใช่กรณีเป็นที่สงสัยอันจะเข้าข้อสันนิษฐานของกฎหมายที่ให้ถือว่าโจทก์จำเลยยังมิได้มีสัญญาต่อกันจนกว่าจะได้ทำเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 366 วรรคสองไม่ ทั้งเงินที่จำเลยรับไว้จากโจทก์ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นลาภมิควรได้ เพราะจำเลยรับไว้เป็นค่าเช่างวดแรกตามข้อตกลงจึงไม่ใช่รับไว้โดยปราศจากมูลอัน จะอ้างกฎหมายได้ การที่ศาลล่างด่วนตัดพยานทั้งที่คู่กรณียังมีข้อเท็จจริงที่โต้เถียงกันอยู่เช่นนี้ เป็นการไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนมกราคม ๒๕๒๗ จำเลยได้ตกลงให้โจทก์เข้าดำเนินกิจการห้องอาหารของจำเลย ตั้งแต่วันที่ ๑ ถึงวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ โดยให้สิทธิโจทก์ปรับปรุงตกแต่งสถานที่ตลอดจนใช้อุปกรณ์ด้วยชามต่าง ๆ ของจำเลยได้และจำเลยขอค่าตอบแทนเป็นเงิน ๒,๐๐๐ บาท เมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยยินดีให้โจทก์เช่าดำเนินกิจการต่อไปมีกำหนด ๑ ปี อัตราค่าเช่าเดือนละ ๙,๐๐๐ บาท โดยจะได้ตกลงในรายละเอียดและทำหนังสือสัญญาเช่าต่อกันในเดือนมีนาคม ๒๕๒๗ โจทก์ได้จ่ายเงินค่าตอบแทน ๒,๐๐๐ บาท ให้แก่จำเลยและเข้าทดลองดำเนินกิจการในห้องอาหารแล้ว ต่อมาวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ โจทก์ได้จ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้าประจำเดือนมีนาคม เมษายน และพฤษภาคม ๒๕๒๗ เป็นเงิน ๒๗,๐๐๐ บาท ให้แก่จำเลยไปและในวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๒๗ จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาเช่ามาให้โจทก์ลงชื่อ แต่ปรากฏเงื่อนไขในสัญญาผิดไปจากที่โจทก์และจำเลยเคยตกลงกันมาก่อน โจทก์จึงไม่ยอมลงชื่อและมอบอาคารร้านอาหารคืนให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๒๗ การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยคืนเงินค่าเช่าล่วงหน้าจำนวน ๒๗,๐๐๐ บาท กับค่าเสียหายจำนวน ๑๗,๖๕๗ บาทแก่โจทก์ พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของจำนวนเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะใช้เงินเสร็จ
จำเลยให้การรับว่า ได้ตกลงให้โจทก์เช่าห้องอาหารของจำเลยจริงมีกำหนด ๑ ปีค่าเช่าเดือนละ ๙,๐๐๐ บาท แบ่งชำระค่าเช่าเป็น ๔ งวด งวดละ ๓ เดือน กำหนดชำระค่าเช่าล่วงหน้าทุกงวด โจทก์จำเลยได้ตกลงกันว่าเมื่อโจทก์ชำระค่าเช่าล่วงหน้างวดแรก๒๗,๐๐๐ บาทแล้ว จึงจะทำหนังสือสัญญาเช่าต่อกัน โจทก์ชำระค่าเช่าล่วงหน้างวดแรกให้จำเลยแล้ว แต่ไม่ยอมลงชื่อในหนังสือสัญญาเช่าและเลิกกิจการไปเองเพราะโจทก์ไม่ประสบผลสำเร็จในการดำเนินกิจการห้องอาหารจำเลยจึงไม่ ต้องคืนเงินค่าเช่าล่วงหน้าหรือรับผิดชดใช้ค่าเสียหายต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดสืบพยานและพิพากษาให้จำเลยคืนเงินจำนวน ๒๗,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะคืนเงินเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำฟ้องและคำให้การว่าโจทก์ได้ตกลงเช่าห้องอาหารของจำเลยเป็นเวลา ๑ ปี นับตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๒๗ เป็นต้นไป โดยจำเลยคิดค่าเช่าเดือนละ ๙,๐๐๐ บาท แบ่งชำระค่าเช่าเป็น ๔ งวดงวดละ ๓ เดือนโดยโจทก์ต้องชำระค่าเช่าล่วงหน้าในแต่ละงวด สำหรับค่าเช่างวดแรกจำนวน ๒๗,๐๐๐ บาท โจทก์ได้ชำระให้จำเลยครบถ้วนแล้ว คู่กรณีคงโต้เถียงกันว่าเหตุที่ไม่อาจทำสัญญาเป็นหนังสือกันได้เพราะอีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติผิดข้อตกลง ดังนี้ข้อเท็จจริงจึงเป็นอันรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์จำเลยได้มีนิติสัมพันธ์ต่อกันแล้วตามข้อตกลงในเรื่องการเช่า แต่เหตุที่ยังไม่อาจทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรต่อกันได้เพราะต่างยังคงโต้เถียงและกล่าวหากันอยู่ว่าอีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติผิดข้อตกลง จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจำต้องฟังพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยต่อไป หาใช่กรณีเป็นที่สงสัย อันจะเข้าข้อสันนิษฐานของกฎหมายที่ให้ถือว่าโจทก์จำเลยยังมิได้มีสัญญาต่อกัน จนกว่าจะได้ทำเป็นหนังสือไม่ ข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยจึงมิใช่เป็นกรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๓๖๖ วรรคสอง ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยและยกขึ้นปรับแก่คดี ทั้งเงินที่จำเลยรับไว้จากโจทก์จำนวน ๒๗,๐๐๐ บาทก็ถือไม่ได้ว่าเป็นลาพมิควรได้ เพราะจำเลยรับไว้เป็นค่าเช่างวดแรกตามข้อตกลง จะว่าปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายอย่างไรได้ การที่ศาลชั้นต้นด่วนตัดพยานและวินิจฉัยให้โจทก์ชนะคดีและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนทั้งที่คู่กรณียังมีประเด็นข้อเท็จจริงที่โต้เถียงกันอยู่เช่นนี้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาสืบพยานและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share