คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5598/2551

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การขอแก้ไขชื่อกรรมการผู้มีอำนาจที่พิมพ์อักษรบางตัวผิดไปในฟ้อง ให้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง เป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อย ซึ่งสามารถกระทำได้แต่ฝ่ายเดียวโดยไม่ต้องให้จำเลยมีโอกาสคัดค้าน และไม่ต้องส่งสำเนาให้จำเลยทราบล่วงหน้า ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากร ฯ มาตรา 17 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 21 (2), 181 (1) เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ช.กรรมการผู้มีอำนาจโจทก์เป็นผู้มอบอำนาจจริง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่าขอให้เพิกถอนการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ตามใบแจ้งรายการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2547 เล่มที่ 1/2548 เลขที่ 4 ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2548 และคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2 ลงวันที่ 21 มีนาคม 2548 กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินจำนวน 192,234.27 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 190,900.58 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกว่า การที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิมที่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องและหนังสือมอบอำนาจตามคำร้องฉบับลงวันที่ 31 สิงหาคม 2548 แล้วมีคำสั่งใหม่เป็นให้ยกคำร้องฉบับดังกล่าวชอบหรือไม่ ในปัญหานี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ยื่นคำฟ้องโดยบรรยายฟ้องว่าโจทก์โดยนายปราโมทย์และนายธีรพงษ์ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้นายบุรินทร์เป็นผู้มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีแทนตาม เอกสารหมาย จ.4 จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีประการหนึ่งว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้เนื่องจากนายธีรพงษ์ไม่ได้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ ศาลภาษีอากรกลางนัดชี้สองสถานวันที่ 22 พฤศจิกายน 2548 ก่อนถึงวันนัด โจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ 31 สิงหาคม 2548 ความว่า เนื่องจากคำฟ้องและหนังสือมอบอำนาจของโจทก์พิมพ์ชื่อกรรมการผิดไป จึงขอแก้ไขชื่อ “นายธีรพงษ์ กัมพลพันธ์” ตามที่ปรากฏในคำฟ้องเป็น “นายชีระพงษ์ กัมพลพันธ์” และขอแก้ไขชื่อ “นายธีระพงษ์ กัมพลพันธ์” ตามที่ปรากฏในหนังสือมอบอำนาจของโจทก์เป็น “นายชีระพงษ์ กัมพลพันธ์” ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งในวันเดียวกันว่า “อนุญาตสำเนาให้อีกฝ่ายหนึ่ง” ต่อมาในวันนัดชี้สองสถานศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว เห็นว่า คำร้องขอแก้ไขคำฟ้องฉบับลงวันที่ 31 สิงหาคม 2548 มิใช่คำขอที่จะทำได้แต่ฝ่ายเดียว การที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องโดยมิได้ส่งสำเนาให้จำเลยและให้โอกาสจำเลยในอันที่จะตรวจโต้แย้งและหักล้างข้อหาเสียก่อนเป็นการสั่งโดยไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 181 ประกอบมาตรา 21 จึงให้เพิกถอนคำสั่งอนุญาตดังกล่าว หลังจากนั้น ศาลภาษีอากรกลางได้สอบทนายจำเลยเกี่ยวกับคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องและเอกสารท้ายฟ้องดังกล่าวแล้ว ศาลภาษีอากรกลางเห็นว่า คำร้องขอแก้ไขคำฟ้องและเอกสารท้ายฟ้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 31 สิงหาคม 2548 เป็นกรณีที่โจทก์ขอแก้ไขชื่อกรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ที่พิมพ์ผิดพลาดถึง 3 แห่ง โดยบุคคลดังกล่าวถือเป็นบุคคลที่มีอำนาจตามกฎหมายในการดำเนินธุรกรรมและดำเนินคดีอันนับว่าเป็นบุคคลสำคัญซึ่งไม่ควรให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้น ทั้งหนังสือมอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.4 ได้ทำขึ้นตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2548 และโจทก์นำมายื่นฟ้องเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2548 ซึ่งมีเวลาถึง 15 วัน โจทก์ย่อมมีเวลาตรวจสอบความถูกต้องให้รอบคอบก่อนนำมาใช้เป็นเอกสารประกอบการดำเนินคดีอันเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง แต่โจทก์กลับปล่อยให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้นจึงต้องรับผลที่จะเกิดขึ้นนั้นเอง ประกอบกับการแก้ไขชื่อกรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ดังกล่าวในเอกสารท้ายฟ้องถือเป็นการแก้ไขพยานหลักฐานที่จะต้องใช้ในการพิจารณาคดี มิใช่การแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยในรายละเอียดแห่งคำฟ้อง แต่เป็นการแก้ไขข้อความสำคัญอันก่อให้เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีซึ่งจำเลยให้การต่อสู้ไว้ และจำเลยได้แถลงคัดค้านคำร้องขอแก้ไขฟ้องและเอกสารท้ายฟ้องของโจทก์ เมื่อเป็นดังนี้จึงไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องและ เอกสารหมาย จ.4 ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ เห็นว่า การที่จะวินิจฉัยว่าการแก้ไขอย่างไรเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยในคำฟ้องต้องดูจากคำบรรยายฟ้องของโจทก์เป็นหลัก ซึ่งตามปกติการขอแก้ไขเพิ่มเติมสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ถือได้ว่าเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมในข้อสาระสำคัญ แต่กรณีโจทก์ขอแก้ไขชื่อกรรมการผู้มีอำนาจตามที่บรรยายในคำฟ้องจากชื่อ “นายธีรพงษ์ กัมพลพันธ์” เป็น”นายชีระพงษ์ กัมพลพันธ์” นั้น เป็นเพียงการขอแก้ไขชื่อกรรมการผู้มีอำนาจให้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงเท่านั้น จึงเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อย ซึ่งสามารถกระทำได้แต่ฝ่ายเดียวโดยไม่ต้องให้จำเลยมีโอกาสคัดค้าน และไม่ต้องส่งสำเนาคำร้องให้จำเลยทราบล่วงหน้าตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 17 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21 (2) และมาตรา 181 (1) ที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งลงวันที่ 31 สิงหาคม 2548 อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องในส่วนชื่อของนายธีรพงษ์เป็นนายชีระพงษ์จึงชอบแล้ว สำหรับกรณีที่โจทก์ขอแก้ไขชื่อ “นายธีระพงษ์ กัมพลพันธ์” ตามที่ปรากฏในหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.4 เป็น “นายชีระพงษ์ กัมพลพันธ์” นั้น เห็นว่า หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวเป็นเอกสารที่โจทก์จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการยื่นคำฟ้อง มิใช่คำฟ้องที่โจทก์อาจจะขอแก้ไขได้ ดังนั้น ที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2548 ไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขหนังสือมอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.4 จึงชอบแล้ว แต่ที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการต่อไปมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ในปัญหานี้โจทก์มีนายชีระพงษ์เป็นพยานเบิกความว่า พยานเป็นกรรมการของโจทก์และได้ร่วมกับนายปราโมทย์กรรมการของโจทก์อีกผู้หนึ่งลงลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.4 มอบอำนาจให้นายบุรินทร์ฟ้องคดีนี้แทน แต่พนักงานของโจทก์พิมพ์ชื่อพยานในเอกสารดังกล่าวผิดพลาดไป โดยพิมพ์ชื่อพยานเป็น “ธีระพงษ์” แทนที่จะเป็น “ชีระพงษ์” ส่วนจำเลยมีจ่าสิบเอกสุขสันต์เป็นพยานเบิกความว่า ตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.4 ระบุว่าโจทก์โดยนายปราโมทย์และนายธีระพงษ์กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทมอบอำนาจให้นายบุรินทร์เป็นผู้มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีแทนโจทก์ เมื่อนายธีระพงษ์ไม่ได้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อผูกพันโจทก์ได้ตามหนังสือรับรอง นายธีระพงษ์จึงไม่มีอำนาจลงลายมือชื่อร่วมกับนายปราโมทย์มอบอำนาจให้นายบุรินทร์ฟ้องคดีแทน การที่โจทก์นำพยานบุคคลมาสืบ ถือเป็นการสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสาร นั้น เห็นว่า ตามทางนำสืบของจำเลยมิได้ยืนยันว่านายธีระพงษ์เป็นบุคคลซึ่งมีตัวตนจริงและเป็นคนละคนกับนายชีระพงษ์ การที่โจทก์นำสืบว่าหนังสือมอบอำนาจพิมพ์ชื่อนายชีระพงษ์ผิดโดยอักษรตัวแรกของชื่อแทนที่จะเป็น “ช” กลับพิมพ์เป็น “ธ” จึงมิใช่การนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร แต่เป็นการนำสืบอธิบายความเป็นมาของหนังสือมอบอำนาจเพื่อยืนยันคำฟ้อง (ที่แก้ไขแล้ว) ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์โดยนายชีระพงษ์และนายปราโมทย์ร่วมกันลงชื่อมอบอำนาจให้นายบุรินทร์ฟ้องคดีแทน ทั้งจำเลยก็มิได้นำสืบหักล้างว่านายชีระพงษ์ กัมพลพันธ์ มิได้ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.4 พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักมากกว่าพยานจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายชีระพงษ์และนายปราโมทย์กรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ได้ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจและประทับตราสำคัญของโจทก์มอบอำนาจให้นายบุรินทร์ฟ้องคดีแทน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยมานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น สำหรับอุทธรณ์ของโจทก์ในประเด็นอื่นปรากฏว่าศาลภาษีอากรกลางยังมิได้วินิจฉัย แม้คู่ความจะได้นำสืบข้อเท็จจริงมาเสร็จสิ้นแล้วและเป็นการเพียงพอที่ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรจะวินิจฉัยไปเสียเองได้ แต่เพื่อให้คดีมีการตรวจสอบดุลพินิจเป็นไปตามลำดับชั้นศาล จึงเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาพิพากษาใหม่
พิพากษายกคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ให้ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาในประเด็นที่ยังมิได้วินิจฉัยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี โดยอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องเฉพาะในส่วนชื่อของผู้มอบอำนาจที่ระบุในคำฟ้องได้ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลภาษีอากรกลางรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่.

Share