แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ในคดีที่โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยได้กระทำการต่าง ๆ ในที่ดินที่โจทก์ซื้อมาจากผู้มีชื่อเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์นั้น เมื่อปรากฏว่าที่ดินที่โจทก์ซื้อมาเป็นที่ดินที่จำเลยยังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์อยู่ โจทก์จึงไม่อาจเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้เพราะการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำในที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง แม้โจทก์จะมีคำขอท้ายฟ้องไว้ในเรื่องทางภารจำยอมด้วยก็ตามแต่เมื่อโจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้ว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ และได้ภารจำยอมโดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และมาตรา 1401ตามลำดับแล้ว การกำหนดประเด็นข้อพิพาทและการนำสืบในประเด็นดังกล่าวย่อมเป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น ศาลฎีกามิอาจวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวและพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีได้
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองที่ดิน 1 แปลง ตาม ส.ค.1 เลขที่ 9 ตำบลหนองไข่น้ำอำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี โดยซื้อจากนายยา มีแก้ว เมื่อซื้อแล้วโจทก์ได้ทำถนนดินลูกรังในที่ดินที่โจทก์ซื้อมา เชื่อมต่อกับทางสาธารณะโดยยอมให้ประชาชนทั่วไปและยานพาหนะผ่านไปมาได้เหมือนทางสาธารณะเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ถนนดินลูกรังในที่ดินโจทก์จึงเป็นทางภารจำยอมเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2522 จำเลยที่ 1สำนวนแรกและจำเลยสำนวนหลังซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 3036 ตำบลหนองไข่น้ำ อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรีได้นำเจ้าพนักงานรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลยที่ 1 ชี้เขตที่ดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดิน ส.ค.1 ของโจทก์ โจทก์คัดค้านการชี้เขตที่ดินของจำเลยที่ 1 ต่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสระบุรีแล้ว ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้บุกรุกนำเสาปูนซิเมนต์เข้าไปปักในถนนดินลูกรังในที่ดินของโจทก์เพื่อมิให้ประชาชนใช้สัญจรไปมา เจ้าพนักงานที่ดินให้โจทก์นำชี้เขตที่ดิน ส.ค.1 ของโจทก์เพื่อไกล่เกลี่ย โจทก์ขอให้จำเลยที่ 2 สั่งเจ้าพนักงานรังวัดทำแผนที่ที่ดินของจำเลยที่ 1 โดยวิธีปูโฉนดในแผนที่ระวาง การไกล่เกลี่ยไม่เป็นผลสำเร็จเพราะจำเลยที่ 2 ไม่ดำเนินการตามที่โจทก์ขอ และในที่สุดจำเลยที่ 2 ได้มีคำสั่งยกเลิกคำคัดค้านของโจทก์ให้โจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาล การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการละเมิดก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ หลังจากโจทก์ฟ้องคดีแรกแล้วจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นจำเลยสำนวนหลัง ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์โดยนำรถแทรกเตอร์มาขุดไถถนนดินลูกรังในที่ดินของโจทก์ทำให้ถนนเสียหาย ระหว่างเทศกาลไหว้บุพการีมีชาวจีนมาประกอบกิจในสุสานของโจทก์เป็นจำนวนมาก จำเลยที่ 1 ได้นำเสามาปิดกั้นและนำรถยนต์โดยสารขนาดใหญ่เข้ามาจอดกีดขวางบนถนนดินลูกรังไม่ให้รถและคนเข้าไปในสุสานเป็นการเสียหายแก่กิจการของโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 9 เป็นสิทธิของโจทก์ เพิกถอนการรังวัดที่ดินโฉนดที่ 3036 ตามที่จำเลยที่ 1 นำชี้และสั่งเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินของโจทก์และจำเลยที่ 1 ใหม่โดยวิธีปูโฉนดตามรูปแผนที่ระวางและพิพากษาว่า ถนนดินลูกรังที่โจทก์สร้างในที่ดินเป็นทางภารจำยอมหรือทางสาธารณะ ห้ามบุคคลอื่นและจำเลยที่ 1 เกี่ยวข้องกับให้จำเลยที่ 1 และบริวารถอนเสาที่นำไปปักไว้ในที่ดินของโจทก์ออกไป และใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน 85,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จ จำเลยทั้งสองสำนวนให้การและจำเลยที่ 1 สำนวนแรกฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 3036 ส่วนหนึ่งได้แยกออกเป็นโฉนดเลขที่ 12597ที่ดินตามฟ้องโจทก์เป็นที่ดินของจำเลยที่ 1 ตามโฉนดที่ 12597จำเลยที่ 1 ได้รื้อถนนและใช้สิทธิขัดขวางโดยสุจริต ถนนที่โจทก์อ้างไม่ใช่ทางภารจำยอม ที่ดินตาม ส.ค.1 ที่โจทก์ครอบครองทับที่ดินมีโฉนดของจำเลยที่ 1 โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1 มิได้ทำการกีดขวางโจทก์ตามฟ้องความเสียหายที่โจทก์อ้างเกินความจริงส่วนจำเลยที่ 2 มิได้กระทำละเมิดโจทก์ จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ และโจทก์ไม่เสียหายฟ้องโจทก์เคลือบคลุม กับจำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งว่า โจทก์ใช้สิทธิยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาศาลไต่สวนและมีคำสั่งห้ามจำเลยที่ 1 กีดขวางการใช้ถนนของโจทก์ตามฟ้อง ทำให้จำเลยที่ 1 ไม่สามารถใช้สิทธิในที่ดินของจำเลยที่ 1 ได้ จำเลยที่ 1เสียหายต่อเกียรติยศชื่อเสียง ขอให้บังคับโจทก์ใช้ค่าเสียหายจำนวน100,000 บาท ยกเลิกหมายห้ามชั่วคราวของศาล และให้จำเลยที่ 1 มีอำนาจใช้สิทธิในที่ดินของจำเลยที่ 1 ต่อไป โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า คำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 เคลือบคลุมโจทก์ใช้สิทธิทางศาลโดยชอบและโดยสุจริต โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินรูปสี่เหลี่ยมสีเหลืองแก่ กว้างยาวตามที่โจทก์นำชี้ในแผนที่พิพาทถนนดินลูกรังที่โจทก์สร้างในที่ดินต่อจากทางสาธารณะเข้าวัดโคกมะตูมไปเข้าสุสานของโจทก์เป็นทางภารจำยอม ห้ามจำเลยที่ 1และบริวารขัดขวางการใช้ถนนของโจทก์และประชาชนทั่วไป ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าใช้เงินเสร็จ คำขออื่นของโจทก์ให้ยก และยกฟ้องแย้งจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ทั้งสองสำนวน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า ที่ดินที่โจทก์ซื้อจากนายยา และครอบครองมาโดยตลอดและที่ดินของจำเลยที่ 1 ที่ทับเป็นแปลงเดียวกันคือที่ดินที่พิพาท เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 1 งาน 69 ตารางวา และที่ดินพิพาทนั้นมีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์โจทก์จึงไม่อาจอ้างสิทธิในที่ดินพิพาทขึ้นต่อสู้กับจำเลยที่ 1 ได้ และประเด็นค่าเสียหายของโจทก์จึงตกไปด้วยเพราะจำเลยที่ 1 กระทำการต่าง ๆ ตามที่โจทก์ฟ้องในที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง ส่วนการที่โจทก์นำสืบได้ความต่อไปว่า โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทติดต่อกันมาสิบปีแล้ว และโจทก์ทำถนนดินลูกรังใช้ติดต่อกันมาสิบปีแล้ว โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์และได้ถนนเป็นภารจำยอมโดยอายุความนั้น เมื่อพิเคราะห์ฟ้องของโจทก์โดยตลอดแล้ว โจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้ว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของจำเลยที่ 1โดยการครอบครองปรปักษ์และได้ภารจำยอมโดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และมาตรา 1401 ตามลำดับแม้โจทก์จะมีคำขอท้ายฟ้องไว้ในเรื่องทางภารจำยอมก็ตาม การกำหนดประเด็นข้อพิพาทและการนำสืบในประเด็นดังกล่าวเป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 ศาลฎีกาจึงมิอาจวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวและพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีได้ คำพิพากษาฎีกาที่โจทก์อ้างข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายไม่ตรงตามคดีนี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฎีกาโจทก์ทั้งสองสำนวนฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน