คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5294/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันปักเสาคอนกรีต 4 ต้น ลงในทางภารจำยอมและทำคานข้างบนห้ามรถของโจทก์เข้าออก ทั้งยังปิดป้ายห้ามนำรถบรรทุกเข้าออกห้ามไม่ให้ปักเสาไฟฟ้า วางท่อประปา วางท่อระบายน้ำ ฯลฯ และโจทก์ได้แก้ไขเพิ่มเติมคำขอท้ายฟ้องให้ชัดเจน ห้ามจำเลยขัดขวางการใช้ทางภารจำยอมของโจทก์ ไม่ว่าการใช้รถยนต์เข้าออกหรือปักเสาไฟฟ้า ทำท่อระบายน้ำ วางท่อประปาและสาธารณูปโภคอื่น ๆ ในทางภารจำยอม การที่โจทก์ฟ้องและขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวระหว่างการพิจารณาโดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์ทำการปักเสาไฟฟ้าวางท่อประปาและท่อระบายน้ำ ลงบนทางภารจำยอม จึงเป็นเรื่องเดียวกันและมีเหตุสมควรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254(2) และมาตรา 255(1)และ (2)

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนรั้วที่สร้างรุกล้ำออกจากที่ดินของโจทก์ รื้อถอนเสาคอนกรีต 4 ต้น และสิ่งกีดขวางออกจากทางภารจำยอม ให้ที่ดินของโจทก์และทางภารจำยอมตกอยู่ในสภาพเดิม ห้ามจำเลยและบริวารขัดขวางการใช้ทางภารจำยอมไม่ว่าด้วยกรณีการใช้รถยนต์เข้าออกหรือปักเสาไฟฟ้าทำท่อระบายน้ำ วางท่อประปา และสาธารณูปโภคอื่น ๆ ในทางภารจำยอม ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ในอัตราวันละ 10,000 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะได้รื้อถอนสิ่งกีดขวางทางภารจำยอมและรื้อรั้วออกไปจากที่ดินของโจทก์และยื่นคำร้องขอใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาเป็นกรณีมีเหตุฉุกเฉิน

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งห้ามมิให้จำเลยทั้งสองขัดขวางการใช้ทางภารจำยอม และให้โจทก์ทำการปักเสาไฟฟ้า วางท่อประปาและท่อระบายน้ำเท่าที่จำเป็นผ่านทางภารจำยอมไปยังที่ดินของโจทก์ เป็นการชั่วคราวก่อนพิพากษา

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอาศัยสิทธิทางภารจำยอมซึ่งได้จดทะเบียน ณ สำนักงานที่ดินตามสัญญาข้อตกลงเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 7 ซึ่งจำเลยทั้งสองก็ให้การรับว่ามีการจดทะเบียนทางภารจำยอม แต่อ้างว่าเจ้าของที่ดินเดิมมีเจตนาให้ใช้เป็นทางเดินเท่านั้น มิได้มีเจตนาให้ที่ดินสามยทรัพย์มีสิทธิใช้รถยนต์ผ่านทางภารจำยอม และมีสิทธิทำสาธารณูปโภคบนทางภารจำยอมแต่อย่างใด เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 7 เป็นเอกสารปลอมและเท็จที่ทำขึ้นโดยผู้ไม่มีอำนาจและไม่มีอยู่จริงโจทก์จะกล่าวอ้างให้จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของภารยทรัพย์ต้องผูกพันตามพันธะในเอกสารดังกล่าวไม่ได้ โจทก์มิได้ใช้ทางภารจำยอมเกิน 10 ปี ภารจำยอมสิ้นสิทธิไปแล้วการที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เพื่อบังคับนำรถยนต์ รถยนต์บรรทุกวิ่งบนทางภารจำยอมและทำสาธารณูปโภคลงบนทางภารจำยอมไม่มีอำนาจกระทำได้เพราะเป็นการเพิ่มภาระแก่ภารจำยอมที่ได้จดทะเบียนนั้น ซึ่งก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้เดินเผชิญสืบตรวจสถานที่แล้ว เห็นว่า คำขอของโจทก์มีเหตุสมควร และกรณีมีเหตุฉุกเฉิน โดยปรากฏว่าที่ดินของโจทก์ซึ่งจะทำการก่อสร้างอยู่ด้านหลังสุด เป็นที่ดินว่างเปล่าไม่มีทางเข้าออกอื่นได้นอกจากทางพิพาทซึ่งเป็นทางภารจำยอมเพียงทางเดียว ทั้งยังไม่มีไฟฟ้า น้ำประปา หรือทางระบายน้ำ ตามรายงานกระบวนพิจารณา ฉบับลงวันที่ 25 สิงหาคม 2538 ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ฟ้องอ้างสิทธิการใช้ทางภารจำยอมตามที่ได้จดทะเบียนเรื่องทางเดินขอบังคับจำเลยทั้งสองมิให้ขัดขวางการใช้ทางภารจำยอมของโจทก์ แต่ปรากฏในคำขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวในระหว่างพิจารณาของโจทก์ โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์ทำการปักเสาไฟฟ้า วางท่อประปาและท่อระบายน้ำลงบนทางภารจำยอม คำฟ้องและคำขอนั้นจึงเป็นคนละเรื่องกัน ไม่มีเหตุและไม่อยู่ในโอกาสอันสมควรที่จะยื่นคำขอได้ ชอบที่ศาลจะยกคำขอนั้น เห็นว่าจำเลยทั้งสองฎีกาไม่ตรงข้อเท็จจริง เพราะตามคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันปักเสาคอนกรีต 4 ต้น ลงในทางภารจำยอมและทำคานข้างบนห้ามรถของโจทก์เข้าออก ทั้งยังปิดป้ายห้ามนำรถบรรทุกเข้าออก ห้ามไม่ให้ปักเสาไฟฟ้าวางท่อประปาวางท่อระบายน้ำ ฯลฯ ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 9 จำเลยทั้งสองก็ไม่ให้การปฏิเสธและโจทก์ได้แก้ไขเพิ่มเติมคำขอท้ายฟ้องให้ชัดเจนห้ามจำเลยขัดขวางการใช้ทางภารจำยอมของโจทก์ไม่ว่าการใช้รถยนต์เข้าออกหรือปักเสาไฟฟ้า ทำท่อระบายน้ำ วางท่อประปาและสาธารณูปโภคอื่น ๆ ในทางภารจำยอม ฉะนั้น โจทก์ฟ้องและขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวระหว่างการพิจารณาเป็นเรื่องเดียวกัน และมีเหตุสมควรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254(2) และมาตรา 255(1)และ (2) ที่ศาลล่างทั้งสองสั่งและพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share