คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 776/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ที่ 1 เป็นภริยา โจทก์ที่ 2 เป็นบุตรผู้เยาว์ของผู้ตายโจทก์ทั้งสองต่างเป็นทายาทโดยธรรม ซึ่งมีสิทธิได้รับมรดกเป็นส่วนแบ่งหุ้นของผู้ตายในบริษัทจำเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1599, 1600, 1629(1), 1629 วรรคท้าย และ 1635(1) การที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยลงทะเบียนให้โจทก์ที่ 1 เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดแต่ผู้เดียวไม่แบ่งหุ้นมรดกให้แก่โจทก์ที่ 2 ถือได้ว่าโจทก์ที่ 1 มารดาผู้ใช้อำนาจปกครองเอาประโยชน์จากกิจการและประโยชน์นั้นขัดกับประโยชน์ของโจทก์ที่ 2 ผู้เยาว์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574, 1575
ตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1118หมายถึงหุ้นจำนวนหุ้นเดียวจะแบ่งแยกไม่ได้ ถ้ามีหลายคนเป็นเจ้าของหุ้นหุ้นเดียว ต้องให้คนใดคนหนึ่งใช้สิทธิแต่คนเดียวในฐานะผู้ถือหุ้น แต่กรณีที่หุ้นมรดกมีจำนวน 500 หุ้น จึงอาจแบ่งระหว่างโจทก์ที่ 1 กับโจทก์ที่ 2 แยกกันถือหุ้นได้ โจทก์ที่ 1จึงจะอ้างสิทธิตามมาตรานี้โดยขอใช้สิทธิในฐานะผู้ถือหุ้นเพียงผู้เดียวในหุ้นทั้งหมดไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นภริยา และโจทก์ที่ ๒ เป็นบุตรของนายเกรียงศักดิ์หรือกิ้มสุย ตรีวรพันธ์หรือแซ่ตี๋ ผู้ตาย ซึ่งถือหุ้นในบริษัทจำเลยจำนวน ๕๐๐ หุ้น ตั้งแต่เลขที่ ๑ ถึงที่ ๕๐๐ผู้ตายถึงแก่ความตาย หุ้นของผู้ตายจึงตกเป็นของโจทก์ทั้งสองโจทก์ที่ ๑ ในฐานะส่วนตัวและในฐานะมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของโจทก์ที่ ๒ ขอใช้สิทธิแต่เพียงผู้เดียวในฐานะเป็นผู้ถือหุ้น ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนและจดแจ้งการโอนทั้งชื่อและสำนักของโจทก์ลงในทะเบียนผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลยให้แก่โจทก์ที่ ๑
จำเลยให้การว่า โจทก์ที่ ๑ ฟ้องขอให้ลงชื่อโจทก์ที่ ๑แต่ผู้เดียวในทะเบียนผู้ถือหุ้นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล เป็นการทำนิติกรรมซึ่งตนมีส่วนได้เสียขัดต่อประโยชน์ของโจทก์ที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้เยาว์ เป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกซึ่งต้องห้ามตามกฎหมาย หุ้นพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายเหี้ยง ตรีวรพันธ์ โดยการครอบครองปรปักษ์ตามกฎหมายแล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนและจดแจ้งการโอนทั้งชื่อและสำนักของโจทก์ทั้งสองลงในทะเบียนผู้ถือหุ้นบริษัทจำเลยสำหรับหุ้นเลขที่ ๑ ถึง ๕๐๐
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยรับเฉพาะโจทก์ที่ ๑ลงทะเบียนเป็นผู้ถือหุ้นของผู้ตาย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยมีหน้าที่ต้องลงทะเบียนโอนหุ้นทั้งหมดของผู้ตายให้แก่โจทก์ที่ ๑ เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะโจทก์ที่ ๒ ก็เป็นทายาทในกองมรดกของผู้ตายอีกคนหนึ่งเป็นการบังคับให้จำเลยปฏิบัติสิ่งที่กระทบกระเทือนสิทธิของโจทก์ที่ ๒ อยู่ในตัว และเท่ากับโจทก์ที่ ๑ขอรับกรรมสิทธิ์ในหุ้นทั้งหมดเป็นของโจทก์ที่ ๑ แต่เพียงผู้เดียวนั้น เห็นว่าโจทก์ที่ ๑ เป็นภริยา โจทก์ที่ ๒ เป็นบุตรผู้เยาว์ของผู้ตาย โจทก์ทั้งสองต่างเป็นทายาทโดยธรรม ซึ่งมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งหุ้นของผู้ตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๕๙๙,๑๖๐๐, ๑๖๒๙(๑), ๑๖๒๙ วรรคท้าย และ ๑๖๓๕(๑) ดังนั้น ตามคำขอของโจทก์ที่ขอให้จำเลยลงทะเบียนให้โจทก์ที่ ๑ เพียงผู้เดียวเป็นผู้ถือหุ้นทั้ง ๕๐๐ หุ้น เท่ากับขอให้โจทก์ที่ ๑ เป็นเจ้าของหุ้นทั้งหมดแต่ผู้เดียวไม่แบ่งหุ้นมรดกให้แก่โจทก์ที่ ๒ บุตรผู้เยาว์ถือได้ว่าโจทก์ที่ ๑ มารดาผู้ใช้อำนาจปกครองเอาประโยชน์จากกิจการและประโยชน์นั้นขัดกับประโยชน์ของโจทก์ที่ ๒ ผู้เยาว์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๗๔, ๑๕๗๕ส่วนที่โจทก์ที่ ๑ อ้างสิทธิตามมาตรา ๑๑๑๘ โดยขอใช้สิทธิในฐานะผู้ถือหุ้นเพียงผู้เดียวในหุ้นทั้งหมดนั้นเห็นว่า ตามมาตราดังกล่าวหมายถึงหุ้นจำนวนหุ้นเดียวจะแบ่งแยกไม่ได้ ถ้ามีหลายคนเป็นเจ้าของหุ้นหุ้นเดียวนั้น ต้องให้คนใดคนหนึ่งใช้สิทธิแต่คนเดียวในฐานะเป็นผู้ถือหุ้นกรณีนี้หุ้นมรดกมีจำนวน ๕๐๐ หุ้น มีหมายเลขหุ้นตั้งแต่หมายเลข ๑ ถึง ๕๐๐ จึงอาจแบ่งระหว่างโจทก์ที่ ๑ กับโจทก์ที่ ๒ แยกกันถือหุ้นได้ แต่โจทก์ทั้งสองไม่ได้นำสืบว่าโจทก์แต่ละคนมีสิทธิในหุ้นมรดกนั้นเท่าใด จึงไม่อาจแบ่งหุ้นอันเป็นมรดกให้แก่โจทก์ที่ ๑ และโจทก์ที่ ๒ ด้วยเหตุดังกล่าว ศาลจึงไม่อาจพิพากษาตามคำขอของโจทก์ในชั้นนี้ได้
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ทั้งสองที่จะฟ้องใหม่ภายในอายุความ

Share