คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1871/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แจ้งความเป็นหนังสือไปยังผู้ร้องให้ชำระหนี้ตามตั๋ว สัญญาใช้เงินแก่ลูกหนี้ซึ่งถูกพิทักษ์ทรัพย์ตาม พ.ร.บ. ล้มละลายฯ มาตรา 119 วรรคแรก เป็นการบังคับตามสิทธิเรียกร้องลูกหนี้ ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจทำได้โดยไม่ต้องฟ้องคดีต่อศาล ถือว่าเป็นการทำการอื่นใดอันนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องคดี อันเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 173 โดยไม่ต้องรอให้มีการออกหนังสือแจ้งยืนยันหนี้ตาม พ.ร.บ. ล้มละลายฯ มาตรา 119 วรรคสอง เสียก่อน อายุความเป็นระยะเวลาอย่างหนึ่ง การนับอายุความจึงต้องบังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา 158 ประกอบด้วย มาตรา 159 วรรคสองกล่าวคือ กรณีที่นับเป็นปี มิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลารวมคำนวณเข้าด้วย เมื่อระยะเวลามิได้เริ่มนับจากวันแรกของปี ระยะเวลาที่นับนั้นจึงสิ้นสุดลงในวันก่อนหน้าจะถึงวันแห่งปีสุดท้ายอันเป็นวันตรงกับเริ่มระยะเวลา อายุความตามตั๋ว สัญญาใช้เงินพิพาทมีกำหนด 3 ปี นับแต่วันทวงถาม คือ วันที่ 2 กันยายน 2526 วันสุดท้ายของอายุความจึงได้แก่วันที่ 2 กันยายน 2529เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหนังสือทวงหนี้ไปยังผู้ร้องตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 119 วรรคแรก เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2529 จึงยังไม่ขาดอายุความ.

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ส่งหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ลงวันที่ 2 สิงหาคม2526 จำนวนเงิน 8,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ17 ต่อปี นับแต่วันที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ผู้ร้องได้ปฏิเสธหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัยพ์สอบสวนแล้วมีหนังสือยืนยันหนี้ให้ผู้ร้องชำระเงินจำนวนดังกล่าว ผู้ร้องไม่เคยกู้ยืมหรือออกตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวให้แก่ลูกหนี้และไม่เคยได้รัยเงิน 8,000,000 บาท ตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวจากลูกหนี้แต่ประการใดกรรมการของลูกหนี้ได้ทำหลักฐานปลอมขึ้นเพื่อยักย้ายถ่ายเททรัพย์ของลูกหนี้ ตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวขาดอายุความแล้วเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่อาจมีหนังสือยืนยันหนี้ให้ผู้ร้องชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งขาดอายุความแล้วได้ ขอให้จำหน่ายชื่อบริษัทบางกองซัพพลายส์ จำกัด ผู้ร้อง ออกจากบัญชีลูกหนี้ของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์บางกอกรัษฎาและทรัสท์ จำกัด ลูกหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คัดค้านและแก้ไขคำคัดค้านว่าตั่วสัญญาใช้เงินดังกล่าวมิได้เป็นตั๋วปลอม และผู้ร้องได้รับเงินจำนวน 8,000,000 บาท ไปจากลูกหนี้ครบถ้วนแล้วเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ออกหนังสือแจ้งให้ชำระหนี้ไปยังผู้ร้องให้ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวยังไม่เกิน 3 ปีจึงยังไม่ขาดอายุความ ขอให้ยกคำร้องและมีคำบังคับให้ผู้ร้องชำระเงินจำนวน 8ล000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17 ต่อปีนับแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2526 ซึ่งเป็นวันออกตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่นำสืบรับกันและข้อที่ไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า ผู้ร้องได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่ 201/26 ลงวันที่ 2 สิงหาคม 2526 จำนวนเงิน 8,000,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17 ต่อปี นับแต่วันออกตั๋วสัญญาใช้เงินโดยกำหนดชำระเงินเมื่อทวงถามให้ไว้แก่ลูกหนี้ตามเอกสารหมาย ร.2 ลูกหนี้ได้มีหนังสือทวงถามให้ผู้ร้องชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2526 โดยขอให้ชำระให้เสร็จภายในวันที่ 9 กันยายน 2526 แต่ผู้ร้องมิได้ชำระหนี้ดังกล่าวแก่ลูกหนี้ตามที่ทวงถาม ต่อมาศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2528 ผู้คัดค้านในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตรวจสอบหลักฐานที่ได้รับมาแล้ว ได้ทำหนังสือทวงถามแจ้งไปยังผู้ร้องเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2529 ขอให้ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว ปรากฏตามรายงานการปิดหนังสือณ ภูมิลำเนาของผู้ร้องเอกสารหมาย ร.5 ผู้ร้องได้มีหนังสือปฏิเสธหนี้มายังผู้คัดค้าน ตามหนังสือปฏิเสธหนี้และใบมอบอำนาจเอกสารหมายจ.พ.ท.6 และ จ.พ.ท.7 ผู้คัดค้านสอบสวนแล้วมีหนังสือแจ้งยืนยันหนี้ไปยังผู้ร้องโดยวิธีส่งทางไปรษณีย์เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2530 ซึ่งผู้ร้องได้รับเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2530 ตามคู่ฉบับหนังสือและใบตอบรับไปรษณีย์ เอกสารหมาย จ.พ.ท.9 และ จ.พ.ท.10…
ข้อที่ผู้ร้องฎีกาว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินที่กล่าวข้างต้นขาดอายุความแล้ว เนื่องจากลูกหนี้ได้ทวงถามให้ผู้ร้องชำระหนี้เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2526 อายุความย่อมเริ่มนับตั้งแต่นั้น ต่อมาผู้คัดค้านมีหนังสือทวงถามให้ผู้ร้องชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวและผู้ร้องได้รับหนังสือเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2529 แต่ผู้ร้องได้ปฏิเสธหนี้และผู้คัดค้านได้มีหนังสือยืนยันหนี้แจ้งไปยังผู้ร้องโดยส่งถึงผู้ร้องเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2530 (ที่ถูกเป็นวันที่ 8 กันยายน 2530) เมื่อนับระยะเวลาจากวันที่ 2 กันยายน2526 ที่ผู้ร้องได้รับหนังสือทวงถามครั้งแรกจนถึงวันที่ 8 มิถุนายน2530 (ที่ถูกเป็นวันที่ 8 กันยายน 2530) ที่ผู้ร้องได้รับหนังสือยืนยันหนี้ เป็นเวลาเกิน 3 ปีแล้วโดยผู้ร้องเห็นว่าการที่ผู้คัดค้านในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทวงถามให้ชำระหนี้จ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119วรรคแรก นั้น ยังไม่ถือว่าเป็นการทำการอื่นใด อันนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องคดี ต้องได้มีหนังสือแจ้งยืนยันหนี้ตามมาตรา 119 วรรคสอง จึงจะถือว่าเป็นการทำการอื่นใดอันนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องคดี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 173 อีกประการหนึ่งผู้ร้องอ้างว่าผู้ร้องได้รับหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2526 อายุความต้องเริ่มนับทันทีในวันนั้น มิใช่เริ่มนับในวันที่ 3 กันยายน 2526 ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ด้วยเหตุนี้อายุความ 3 ปี จึงครบกำหนดในวันที่1 กันยายน 2529 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 159 วรรคสองฉะนั้นแม้จะถือว่าการที่ผู้คัดค้านส่งหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้ไปถึงผู้ร้องในวันที่ 2 กันยายน 2529 เป็นการทำการอื่นใดอันนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องคดีก็ตาม ก็เป็นการกระทำภายหลังที่สิทธิเรียกร้องนั้นขาดอายุความแล้ว ตามข้อฎีกาดังกล่าวของผู้ร้อง ศาลฎีกาเห็นว่า ในเรื่องการทวงหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 119 ที่มีผลถึงอายุความก็ดี การเริ่มนับอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็ดี ผู้ร้องยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่ ที่ถูกแล้วการที่ผู้คัดค้านในฐาะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แจ้งความเป็นหนังสือไปยังผู้ร้องให้ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 119 วรรคแรก นั้น เป็นการบังคับตามสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ซึ่งผู้คัดค้านในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจทำได้โดยไม่ต้องฟ้องคดีต่อศาล จึงต้องถือว่าเป็นการทำการอื่นใดอันนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องคดีอันเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173 แล้ว มิใช่ว่าต้องรอให้มีการออกหนังสือแจ้งยืนยันหนี้ตาม มาตรา 119 วรรคสองเสียก่อนจึงจะถือว่าเป็นการทำการอื่นใดอันนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องคดีดังความเห็นของผู้ร้อง เมื่ออายุความตั๋วสัญญาใช้เงินในคดีนี้มีกำหนด 3 ปี นับแต่วันทวงถาม คือวันที่2 กันยายน 2526 วันสุดท้ายของอายุความจึงได้แก่วันที่ 2 กันยายน2529 ในเมื่อต่อมาศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดและผู้คัดค้านในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีหนังสือแจ้งทวงหนี้ไปยังผู้ร้อง ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา119 วรรคแรก เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2529 เช่นนี้ ย่อมเห็นได้ว่าผู้คัดค้านได้บังคัลตามสิทธิเรียกร้องอันมีผลอย่างเดียวกับการฟ้องคดีภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดแล้ว ตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับดังกล่าวจึงยังไม่ขาดอายุความ ส่วนข้อฎีกาที่ว่าอายุความในกรณีนี้ต้องเริ่มนับแต่วันที่ 2 กันยายน 2526 เป็นวันแรกและต้องครบกำหนด 3 ปี ในวันที่ 1 กันยายน 2529 นั้น เห็นว่า อายคุวามเป็นระยะเวลาอย่างหนึ่ง การนับอายุความจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 158 ประกอบด้วย มาตรา 159วรรคสอง กล่าวคือกรณีที่นับเป็นปีดังเช่นที่เป็นปัญหาในคดีนี้มิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลารวมคำนวณเข้าด้วย และในเมื่อระยะเวลามิได้เริ่มนับจากวันแรกของปี ระยะเวลาที่นับนั้นจึงต้องสิ้นสุดลงในวันก่อนหน้าจะถึงวันแห่งปีสุดท้ายอันเป็นวันตรงกับวันเริ่มระยะเวลา อายุความ 3 ปี ในกรณีนี้จึงเริ่มนับวันที่ 3 กันยายน2526 เป็นวันแรก และสิ้นสุดลงในวันที่ 2 กันยายน 2529 อันเป็นวันสุดท้าย มิใช่เริ่มนับทันทีโดยถือวันที่ 2 กันยายน 2526 เป็นวันแรก และวันที่ 1 กันยายน 2529 เป็นวันสุดท้ายดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้างศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยชอบแล้ว ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share