คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2736/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาคดีชั้นร้องขัดทรัพย์ใหม่โดยไม่ไต่สวนและสั่งให้ผู้ร้องนำพยานมาสืบใหม่โดยอนุญาตให้โจทก์ถามค้าน คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี เมื่อผู้ร้องมิได้โต้แย้งคำสั่งไว้จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226(2) การที่ผู้ร้องอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงและพิพากษาคดีขัดต่อกฎหมาย เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักคำพยาน จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์บ้านซึ่งปลูกติดอยู่กับที่ดินซึ่งโดยสภาพของบ้านก่อนมีการรื้อถอนย่อมเป็นอสังหาริมทรัพย์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 100 จึงเป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคสอง.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน พร้อมด้วยดอกเบี้ย แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์จึงขอหมายบังคับคดีนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดบ้านที่อ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เพื่อนำมาขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งถอนการยึดทรัพย์รายนี้
โจทก์ให้การขอให้ยกคำร้อง
โจทก์ขาดนัดพิจารณา แต่ระหว่างสืบพยานผู้ร้อง โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ จำเลยไม่ค้าน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ร้องชอบหรือไม่สำหรับอุทธรณ์ข้อ 1 ผู้ร้องอุทธรณ์ว่า ในวันนัดสืบพยานผู้ร้องนัดแรกศาลมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา และสืบพยานตัวผู้ร้องเสร็จ 1 ปากในวันนัดต่อมาโจทก์มาศาลและขอพิจารณาคดีใหม่ ศาลมีคำสั่งอนุญาตโดยไม่ไต่สวนก่อน และสั่งให้ผู้ร้องนำพยานผู้ร้องที่สืบเสร็จแล้วมาสืบใหม่ และอนุญาตให้โจทก์ถามค้านพยานดังกล่าวเป็นการไม่ชอบเห็นว่า คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ร้องได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวไว้ จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226(2) ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อนี้ของผู้ร้องชอบแล้ว
ส่วนอุทธรณ์ข้อ 2 ผู้ร้องอุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงและพิพากษาคดีขัดต่อกฎหมาย ทางนำสืบของผู้ร้องมีพยานเบิกความสอดคล้องต้องกันว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของบ้านพิพาท พยานโจทก์เองก็เบิกความเจือสมพยานผู้ร้อง ส่วนพยานโจทก์เบิกความขัดแย้งกันเบิกความกลับไปกลับมาไม่น่าเชื่อ และไม่ยืนยันข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าพยานโจทก์มีน้ำหนักมากกว่าจึงเป็นการไม่ชอบอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักคำพยานจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงแต่อย่างไรก็ดี คดีนี้ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์บ้านซึ่งปลูกติดอยู่กับที่ดิน แม้จะได้ความว่าปลูกอยู่ในที่ดินของบุคคลอื่น และโจทก์ได้นำยึดขายทอดตลาดเพื่อให้ผู้ซื้อรื้อถอนเอาไปแต่สภาพของบ้านก่อนมีการรื้อถอนย่อมเป็นอสังหาริมทรัพย์เพราะได้ปลูกสร้างไว้ติดกับที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 100 ผู้ร้องอ้างว่าบ้านดังกล่าวเป็นของตน ไม่ใช่ของจำเลยจึงเป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์แม้มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 20,000 บาท ก็ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224วรรคสอง… มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1หรือไม่… พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักยิ่งกว่าพยานหลักฐานผู้ร้องข้อเท็จจริงฟังได้ว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share