คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1839/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เช็คพิพาทเป็นเช็คผู้ถือ โจทก์รับเช็คมาย่อมเป็นผู้ทรง มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิดตามเช็คได้ จำเลยไม่อาจต่อสู้โจทก์ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างตนกับผู้ทรงคนก่อน เว้นแต่การโอนจะได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล จำเลยให้การเพียงว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้ ส.โดยไม่มีมูลหนี้ แต่เป็นการค้ำประกันในการที่จำเลยจัดตั้งบริษัทขึ้นคำให้การดังกล่าวมีลักษณะเป็นการกล่าวถึงความเกี่ยวพันระหว่างจำเลยผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทกับ ส.ซึ่งเป็นผู้ทรงคนก่อน จำเลยจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้ทรงเช็คพิพาทว่าเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ต่อกันไม่ได้ ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 916 และที่จำเลยให้การว่าจำเลยชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้แก่ ส.ไปแล้ว แต่ด้วยอุบายและชั้นเชิงของ ส.จึงให้โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ คำให้การก็ไม่ชัดแจ้งว่ามีการคบคิดกันฉ้อฉลอย่างไร การที่ ส.ฝ่ายเดียวใช้อุบายและชั้นเชิงให้โจทก์ฟ้องจำเลยดังกล่าวไม่เป็นข้อต่อสู้ที่จำเลยจะยกขึ้นใช้ยันโจทก์ได้ และที่จำเลยให้การว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตก็มิได้บรรยายให้ชัดว่า โจทก์ไม่สุจริตอย่างไร คำให้การจำเลยไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177วรรคสอง ไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาท คดีย่อมวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยานโจทก์จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขาราษฎร์บูรณะซึ่งจำเลยสั่งจ่ายเงินจำนวน ๕๔,๒๐๐ บาท ชำระหนี้ให้โจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์ จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่นายสมชาย จงชนะเดชวงศ์ โดยไม่มีมูลหนี้ แต่ออกให้เพื่อเป็นการค้ำประกันในการที่จำเลยได้จัดตั้งบริษัทโกเนวี่ จำกัด และต่อสู้ว่า จำเลยได้ชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้นายสมชายไปแล้ว แต่ด้วยอุบายและชั้นเชิงของนายสมชายจึงให้โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้แสดงว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไมุ่สจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินให้โจทก์ ๕๔,๒๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๒๘ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้จากคำฟ้องและคำให้การจำเลยว่าจำเลยได้ออกเช็คพิพาทสั่งจ่ายเงิน ๕๔,๒๐๐ บาทจริง และเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ โจทก์เป็นผู้รับโอนเช็คพิพาทมาจึงเป็นผู้ถือย่อมเป็นผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๙๐๔ มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดตามเช็คได้ จำเลยถูกฟ้องในมูลหนี้ตามตั๋วเงินคือเช็คพิพาทไม่อาจต่อสู้ผู้ทรงคือโจทก์ด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างตนกับผู้ทรงคนก่อน เว้นแต่การโอนจะได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๑๖ ประกอบด้วยมาตรา ๙๘๙ ตามคำให้การของจำเลยให้การเพียงว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้นายสมชาย จงชนะเดชวงศ์ โดยไม่มีมูลหนี้ แต่เป็นการค้ำประกันในการที่จำเลยจัดตั้งบริษัทขึ้น คำให้การดังกล่าวมีลักษณะเป็นการกล่าวถึงความเกี่ยวพันระหว่างจำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทกับนายสมชายซึ่งเป็นผู้ทรงคนก่อน ฉะนั้น จำเลยจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้ทรงเช็คพิพาทว่าเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ต่อกันไม่ได้ ต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งมาตรา๙๑๖ ดังกล่าว ที่จำเลยให้การว่า จำเลยได้ชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้แก่นายสมชายไปแล้ว๒๐,๐๐๐ บาท แต่ด้วยอุบายและชั้นเชิงของนายสมชายจึงให้โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้นั้นจำเลยไม่ได้ให้การชัดแจ้งว่ามีการโอนเช็คพิพาทและคบคิดฉ้อฉลกันอย่างไร และเห็นว่าในเบื้องต้นต้องถือว่าโจทก์ได้รับเช็คพิพาทมาโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๕ การที่นายสมชายฝ่ายเดียวใช้อุบายและชั้นเชิงให้โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ก็ไม่เป็นข้อต่อสู้ที่จำเลยจะยกขึ้นใช้ยันกับโจทก์ได้ตามมาตรา ๙๐๕ และมาตรา ๙๑๖ ที่จำเลยให้การว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตก็มิได้บรรยายให้ชัดว่า โจทก์ไม่สุจริตอย่างไร คำให้การจำเลยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๗ วรรคสอง ย่อมไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี จึงไม่ต้องสืบพยานโจทก์จำเลยและคดีวินิจฉัยได้โดยไม่จำเป็นต้องพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบมาแล้ว การที่จำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาท จำเลยจึงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้นตามมาตรา ๙๐๐ เมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คนั้นให้แก่โจทก์ตามมาตรา ๙๑๔ ประกอบด้วยมาตรา ๙๘๙
พิพากษายืน.

Share